พบ “เด็กประถม” เป็นนักดื่มหน้าใหม่เพิ่มขึ้น

ชี้เปิดการค้าเสรีธุรกิจน้ำเมาพุงสูง วอนคุมเข้มมาตรการเมาแล้วขับ

 

พบ “เด็กประถม” เป็นนักดื่มหน้าใหม่เพิ่มขึ้น

            

              ผลจากเปิดการค้าเสรี ทำให้ราคาเครื่องดื่มแฮลกอฮอล์ถูกลง เป็นผลให้ธุรกิจน้ำเมาดูดเงินจากกระเป๋าคนไทยปีละกว่า 4 แสนล้าน ส่วนผู้ประกอบการยังขาดความรับชอบต่อสังคม ส่งผลให้เด็กประถมก็เริ่มหัดดื่มเหล้าเพิ่มขึ้น พร้อมกับอุบัติเหตุทางถนนเพิ่มสูง

 

              นพ.ธนะพงศ์  จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.)มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.)กล่าวในการประชุมวิชาการเรื่อง ยกระดับการบังคับใช้กฎหมายเมาแล้วขับให้มีประสิทธิภาพ  ที่จังหวัดชลบุรีเมื่อเร็ว ๆนี้  จัดโดยศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธิเมาไม่ขับเครือข่ายลดอุบัติเหตุและสำนักงานองค์กรงดเหล้าสนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ว่าแม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายเมาแล้วขับ โดยมีโทษทั้งจับและปรับเพิกถอนหรือระงับใบอนุญาตขับขี่ รวมทั้งนำมาตรการคุมประพฤติมาใช้แต่ยังไม่สามารถลดการเกิดอุบัติเหตุได้ โดยคนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนปีละ 12,000 คน หรือวันละ 33  คน และเพิ่มเป็น 2เท่าในช่วงเทศกาล สาเหตุหลักมาจากเมาแล้วขับ ซึ่งองค์การอนามัยโลก (who)ให้คะแนนมาตรการแก้ปัญหาเมาแล้วขับของไทย เพียง 5 เต็ม 10 คะแนนซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เป็นผลจากการดำเนินการตรวจจับและการลงโทษที่ยังขาดประสิทธิภาพ

 

              นพ.ธนะพงศ์  กล่าวว่าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่ดำเนินการแก้ปัญหาเมาแล้วขับอย่างได้ผล เช่นออสเตรเลีย ญี่ปุ่น  พบว่าประเทศเหล่านี้มีมาตรการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่ได้อย่างครอบคลุมรวมทั้งมีบทลงโทษผู้กระทำผิดในสัดส่วนที่สูงทั้งโทษจำและโทษปรับ เช่นรัฐวิกตอเรีย ใน ออสเตรเลีย มีประชากร 4.8 ล้านคนแต่มีมาตรการด้านวิศวกรรมจราจรและการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดจนสามารถลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนจากประมาณ 1,000 รายเหลือเพียง 300 รายในปี 2551โดยสามารถตรวจระดับแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่รถได้ถึง 3.5 ล้านครั้งแม้จะมีตำรวจจราจรเพียง 3 พันคนแต่ประเทศไทยกลับพบว่าการบังคับใช้กฎหมายยังขาดประสิทธิภาพ  อุปกรณ์ตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ยังมีจำกัดไม่เพียงพอครอบคลุมรวมถึงบทลงโทษผู้กระทำความผิดยังไม่สามารถลดพฤติกรรมเมาแล้วขับได้

 

               จากผลการสำรวจพบว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าควรเพิ่มโทษค่าปรับให้สูงขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่กระทำผิดซ้ำและเพิ่มโทษกักขังแทนการลงอาญาโดยในต่างประเทศ พบว่า 1 ใน 3 ของคนที่ฝ่าฝืนกฎหมาย เมาแล้วขับ เป็นการทำผิดซ้ำในหลายประเทศจึงกำหนดมาตรการลงโทษเฉพาะสำหรับผู้กระทำผิดซ้ำ เช่น โทษจำคุกปรับและยึดใบขับขี่ ยึดทะเบียนรถหรือยึดรถและให้เข้ารับการบำบัดการติดเหล้าผู้จัดการศวปถ.กล่าว

 

              นายสุรสิทธิ์  ศิลปงาม ผู้จัดการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวว่าธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทยแต่การบังคับใช้กฎหมายผู้กระทำผิดเมาแล้วขับยังไม่ต่อเนื่องคนส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนัก คิดว่าเมาแล้วขับไม่ใช่เรื่องอันตราย สามารถขับขี่ได้ขณะที่บทลงโทษยังไม่รุนแรง นอกจากนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553ไทยจะเริ่มการเปิดเสรีการค้าจะทำให้สินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากประเทศเพื่อนบ้านหลั่งไหลสู่ประเทศไทย และมีราคาถูกลง ไม่ว่าจะเป็นวิสกี้ที่มีฐานการผลิตในฟิลิปปินส์ และเบียร์จากจีน ในราคา 3 ขวด 50 บาทอาจส่งผลให้คนไทยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น

 

              นายสงกรานต์  ภาคโชคดี ผู้อำนวยการสำนักงานองค์กรงดเหล้ากล่าวว่า ประเทศไทยเก็บภาษีจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ปีละประมาณ 9หมื่นล้านบาทแต่จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขพบว่าประเทศไทยต้องสูญเสียรายได้ให้กับธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตกประมาณปีละ 4 แสนล้านบาท โดย 2แสนล้านบาทได้จากผู้ที่ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาบริโภคซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ส่วนอีก 2 แสนล้านบาทได้จากภาษีของประชาชนที่รัฐบาลนำไปใช้เยียวยาความสูญเสียที่เกิดจากอุบัติเหตุเมาแล้วขับ นอกจากนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วง พบว่าอายุเฉลี่ยของนักดื่มหน้าใหม่เริ่มลดลงจากเดิมที่เป็นนักเรียนนักศึกษาระดับมัธยมศึกษาแต่ปัจจุบันพบว่านักเรียนในระดับประถมศึกษาก็เริ่มมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นแล้ว

 

              ด้านนายสมเกียรติ เจริญสวรรค์ อธิบดีผู้พิพากษาหัวหน้าศาลภาค 2 กล่าวว่าเพื่อให้การแก้ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายเมาแล้วขับให้ได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นที่ทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกันดำเนินการเพื่อให้ ได้ผลและมีประสิทธิภาพตำรวจจะต้องจริงจังในการตรวจจับควรตั้งด่านจุดตรวจให้ใกล้สถานบันเทิงมากที่สุดเพื่อป้องกันความสูญเสียจากอุบัติเหตุเมาแล้วขับส่วนการเพิ่มโทษเช่น การกักขัง ศาลจะต้องพิจารณาเป็นกรณีตามความเหมาะสม 

 

              ขณะที่พ.ต.ท.พงษ์ศักดิ์ เจริญจิตร รองผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการกองบังคับการตำรวจภูธร ภาค 2 กล่าวว่า กล่าวว่า สถานบันเทิง ร้านอาหารที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมและปฏิบัติตามกฎหมายเช่นเปิด ปิด ตามเวลากำหนดทั้งนี้ที่ญี่ปุ่นหากลูกค้ามีอาการมึนเมามาก ขาดสติผู้ประกอบการจะจัดสถานที่ให้พักฟื้นก่อนจะไปขับขี่  แต่บ้านเรายังไม่มีผู้ประกอบการยังขาดความรับผิดต่อลูกค้า ผู้ที่ต้องดูแลรับผิดชอบจึงต้องเป็นตำรวจ

 

              พ.ต.ท.พงษ์ศักดิ์ กล่าวว่าในส่วนของการดำเนินการแก้ปัญหาเมาแล้วขับตำรวจจะต้องเพิ่มการตั้งด่านจุดตรวจบริเวณที่ใกล้สถานบันเทิงมากขึ้น  ประชาชนก็ต้องให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่อย่ามองว่าตำรวจเลวร้าย แต่ให้มองว่าตำรวจกำลังช่วยปกป้องชีวิตของประชาชน  อย่างไรก็ตามในส่วนของการเพิ่มโทษผู้กระทำความผิดซ้ำจะต้องเพิ่มให้หนักขึ้นควบคู่กับการปรับปรุงพัฒนาระบบการสืบค้นข้อมูลย้อนหลังให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นเช่นกัน

 

              ด้านนายภัทรพันธุ์ กฤษณา ตัวแทนจากเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ กล่าวว่า  การที่ถูกตำรวจเรียกตรวจและลงโทษปรับ กักขังควรจะดีใจ และถือว่าโชคดีที่ถูกเรียก ก่อนที่จะไปเกิดอุบัติเหตุ หรือพิการซึ่งเป็นความสูญเสียอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นผลที่ทุกคนไม่อยากจะประสบ

 

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

 

 

 

update: 28-12-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: กิตติยา  ธนกาลมารวย

 

 

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

ระบุข้อความ