พบรากชะเอม – มะขามป้อม
ช่วยหน้าขาวโดยไม่พึ่งสารเคมี
องค์การเภสัชกรรม วิจัยพบว่า รากชะเอม มะขามป้อม และใบแบร์เบอร์รี่ มีผลช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใสเป็นธรรมชาติ ทดสอบแล้วไม่เกิดผลข้างเคียง เตรียมผลิตต่อยอดจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ธรรมชาติขมิ้นชัน ทดแทนการใช้สารเคมีลดการนำเข้า
นายแพทย์วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เปิดเผยว่า สถาบันวิจัยและพัฒนาขององค์การเภสัชกรรม ได้มีการค้นคว้าวิจัยสารสกัดจากธรรมชาติ เพื่อใช้ทดแทนวัตถุดิบที่เป็นสารเคมีในการผลิตยา ผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในกลุ่มของผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพผิวจากสมุนไพรขมิ้นชัน ที่มีสรรพคุณในการบำรุงผิวและปกป้องผิวจากมลภาวะแวดล้อม ได้มีการต่อยอดงานวิจัยดังกล่าวและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าผสมสารสกัดจากธรรมชาติ มีสรรพคุณทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้สารเคมี
นายแพทย์วิทิต เผยต่อว่า การวิจัยดังกล่าวองค์การเภสัชกรรมได้มีการศึกษาถึงคุณสมบัติของพืช ผัก สมุนไพร ที่มีอยู่ในประเทศหรืออยู่ในต่างประเทศ แต่สามารถนำมาเพาะพันธุ์ปลูกภายในประเทศได้ โดยสกัดสารสำคัญจากราก ลำต้น ใบ ดอก ผล ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ผ่านห้องทดลองในลักษณะเดียวกับการวิเคราะห์วิจัย เพื่อผลิตยารักษาโรคตามมาตรฐานการผลิตที่ดี หรือที่เรียกว่า จีเอ็มพี และจากการค้นคว้าวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ของเราโดยตรงพบว่า สารสกัดจากรากชะเอม ลูกมะขามป้อม และใบแบร์เบอร์รี่ มีคุณสมบัติพิเศษสูงกว่าพืช ผัก สมุนไพรอื่นๆ ในการช่วยลดความเข้มของเม็ดสีบริเวณผิวหน้า ช่วยให้มีความสว่างกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ มีความสดใส สามารถใช้ทดแทนสารเคมีในการช่วยทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสและไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อผิวหน้า
สารสกัดจากธรรมชาติดังกล่าวได้ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและความพึงพอใจในผู้หญิงไทยอายุ 20-40 ปี พบว่า การใช้วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น นาน 28 วัน มีผลทำให้สีผิวจางลง อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ใช้โดยพบว่า ค่าความสว่างของผิวหน้าเพิ่มขึ้น 1.4% รวมถึงไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ไม่ทำให้เกิดสิวและสิวอุดตัน นอกจากนี้ ยังได้ทำการทดสอบด้วยการใช้ในอาสาสมัคร 32 คน พบว่า มีความพึงพอใจที่ดีต่อผลิตภัณฑ์
การค้นคว้าดังกล่าว องค์การเภสัชกรรมจึงนำมาต่อยอดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากสารสกัดขมิ้นชันที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้บริโภคมากว่า 5 ปี ด้วยการผสมผสานสารสกัดจากธรรมชาติกับนาโนเทคโนโลยี ที่มีอณูเล็ก ช่วยในการซึมซาบเข้าสู่ผิวอย่างรวดเร็ว และคงอยู่ใต้ผิวหน้าประมาณ 6-8 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการช่วยปกป้องมลภาวะจากภายนอกเข้าสู่ผิว และช่วยทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
องค์การเภสัชกรรมยังมีโครงการก่อสร้างอาคารแปรรูปพืชสมุนไพร พร้อมอุทยานสวนสมุนไพรครบวงจรเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับสรรพคุณของพืชสมุนไพรแก่ประชาชน ควบคู่กับการวิจัยพัฒนาสารสกัดธรรมชาติจากพืชสมุนไพร เพื่อนำมาต่อยอดในการผลิตทดแทนการใช้สารเคมี โดยโครงการดังกล่าวตั้งอยู่ในพื้นที่ขององค์การเภสัชกรรมจำนวน 1,500 ไร่ ที่ อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
update 26-02-52