ปีใหม่ ‘เมาไม่ขับ’ ไป – กลับ ‘ปลอดภัย’
ใกล้เทศกาลปีใหม่หลายคนเริ่มวางแผนการเดินทาง เพื่อออกไปเฉลิมฉลอง แต่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้ นอกจากจะเป็นเทศกาลแห่งความสนุกสนานรื่นเริงแล้ว ยังเป็นช่วงที่มีการเกิดอุบัติเหตุ มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการเมาแล้วขับเป็นจำนวนมาก
โดยนพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ หัวเรือใหญ่ใหญ่ของโครงการรณรงค์การลดอุบัติเหตุทางท้องถนน ที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บอกว่า ยังคงต้องพยายามรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนเหมือนเช่นทุกปี โดยจะเน้นย้ำการไม่ดื่มแอลกอฮอล์และการเคารพกฎจราจร เพื่อสร้างทัศนคติที่ถูกต้อง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และจะช่วยลดปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนอย่างยั่งยืน
นพ.แท้จริง บอกต่อว่า อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงในเชิงของกลยุทธ์การทำงาน โดยเฉพาะการสร้างความตระหนักถึงอันตรายจากการเมาแล้วขับ เช่น เราไม่ควรรายงานยอดของผู้เสียชีวิตแบบรายวัน แต่เปลี่ยนเป็นมารายงานยอดของผู้ติดคุก จากการเมาแล้วขับจะดีกว่า เช่น วันนี้ถูกจับเข้าคุกไปแล้วกี่คน เชื่อว่าสังคมจะไม่ต่อต้านกับมาตรการนี้ แต่ถ้าไปฝืนออกมาตรการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วงปีใหม่ ก็จะถูกต่อต้านแน่นอน ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย เช่น ต้องไม่ปล่อยให้มีผู้เมาแล้วขับ หรือไม่สวมหมวกกันน็อกผ่านมาในพื้นที่ เราต้องให้เจ้าหน้าที่รับผิดชอบด้วย เพื่อไม่ให้ปล่อยปละละเลยในการปฏิบัติงาน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย เพียงแต่เราเพิ่มความเข้มงวดเข้าไป ก็จะช่วยแก้ปัญหาได้มากแล้ว สิ่งเหล่านี้จะช่วยลดยอดผู้เสียชีวิตได้มากกว่ามาตรการอื่นๆ แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้ออกนโยบายด้วยว่าจะจริงจังในการแก้ปัญหามากน้อยเพียงใด
นพ.แท้จริง บอกอีกว่า ทุกวันนี้เชื่อว่าการรณรงค์ได้ผลดีระดับหนึ่งแล้ว ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ แต่การบังคับใช้กฎหมายยังไม่ค่อยได้ผล น่าจะอยู่ที่เพียง 10-20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ดังนั้นต้องให้ขึ้นไปอีกที่ 30-40 เปอร์เซ็นต์ เพราะถ้าจะให้ได้ผลมันต้องที่ระดับ 50 ต่อ 50 เปอร์เซนต์เท่ากันท้ังสองทาง ถ้าไม่ทำตรงนี้ เขียนไว้ได้เลยว่า ปีนี้หรือปีหน้าจะมีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 300 คน เพราะภาครัฐยังใช้มาตรการเดิมๆ ในการดูแลความปลอดภัยของประชาชน ยกเว้นว่า เราจะทำอะไรใหม่ๆ เช่น มีการคาดโทษจากผู้บังคับบัญชา หากมีเจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเลย หรือไม่เข้มงวดกับการปฏิบัติหน้าที่
นพ.แท้จริง บอกต่อว่า มีตัวอย่างมาตรการในต่างประเทศที่ใช้ได้ผลมาแล้ว เช่น อนุญาตให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ แต่คนเมาห้ามขับรถ โดยให้แต่ละร้านต้องมีเครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ ไว้คอยบริการลูกค้า เพื่อให้รู้ระดับว่าตัวเองเมาหรือไม่ เช่น ถ้ามีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดพุ่งสูงเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์แสดงว่า เกินค่าตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ถือเป็นผู้ขับขี่ที่เมาสุรา และมีความผิดตามกฎหมาย หรือมาตรการในบ้างประเทศ เช่น นาย ก. ไปดื่มที่ร้าน ข.แล้วไปขับรถจนเกิดอุบัติเหตุเพราะเมา อย่างนี้ร้าน ข. ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย
ส่วนการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เด็ดขาดนั้น คงใช้ไม่ได้ผลอยู่แล้ว เพราะผู้ที่ต้องการดื่ม ก็สามารถไปซื้อมากักตุนเอาไว้ก่อนได้อยู่ดี มาตรการเช่นนี้จึงเป็นเพียงการป้องกันให้เข้าถึงยากขึ้นเท่านั้น แต่ไม่ได้ช่วยลดอุบัติเหตุอะไรมาก ยืนยันว่าถ้าจะลดตัวเลขผู้เสียชีวิตแบบได้ผล เราต้องเน้นการบังคับใช้กฎหมายแบบจริงจังเท่านั้น โดยเฉพาะการจับผู้ที่เมาแล้วขับและส่งตัวเข้าคุกทันที และไม่รอลงอาญา ให้อดเที่ยวปีใหม่ไปเลย แต่เรื่องนี้ที่ผ่านมา ศาลมักจะให้ความปราณีไม่ต้องติดคุกทันที ดังนั้นก็คงต้องขอให้ศาลปรับการลงโทษให้แรงขึ้น มาตรการนี้เชื่อว่าจะทำให้นักดื่มที่เมา ไม่กล้าที่จะขับรถเด็ดขาด เพราะกลัวจะติดคุกและอดเที่ยวปีใหม่
เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ บอกด้วยว่า คนไทยมักมีความเชื่อในเรื่องของเวรกรรม ดังนั้นเวลาเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้ง ก็จะไปโทษเวรกรรม ทั้งที่ความจริงแล้ว น่าจะเป็นเรื่องของความประมาทมากกว่า และสามารถป้องกันได้ แต่เราต้องยอมรับว่า เรื่องความเชื่อนั้นเปลี่ยนแปลงกันยาก ซึ่งในคน 100 คนจะมี 1 คนที่จะเชื่อและทำตามที่รณรงค์ ส่วนอีก 99 คนจะไม่ทำตาม เพราะยังมีความประมาทอยู่ และไม่คิดว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
"7 วันอันตรายปีนี้ ห่วงเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ถ้าเราบังคับใช้กฎหมายให้ดี เช่น ถ้าเมาแล้วขับ หรือขับรถจักยานยนต์ไม่ใส่หมวกกันน็อกแล้วถูกตำรวจจับติดคุกทันที ถ้าพูดถึงเรื่องเหล่านี้บ่อยๆ ผู้ที่เกี่ยวข้องก็จะเห็นว่า เขาก็มีโอกาสโดนจับเหมือนกันนะ ก็จะเปลี่ยนความคิดและไม่กล้าทำผิดกฎหมาย ดังนั้นการบังคับใช้กฎหมาย 7 วันนี้ ต้องชัดเจนต่อเนื่องและเอาจริง ตรงนี้สำคัญมาก ประเทศเราขาดตรงนี้ จึงทำให้สังคมปั่นป่วน และวินัยการจราจรก็เป็นจุดเริ่มต้นในอีกหลายๆ เรื่อง ถ้าวินัยบนท้องถนนดี เรื่องอื่นๆ ก็จะดีตามมา ประเทศจึงจะเจริญได้" นพ.แท้จริง บอกทิ้งท้าย
เรื่องโดย : นายฉัตร์ชัย นกดี Team Content www.thaihealth.or.th
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต