‘บ่อบำบัดน้ำเสีย’ จุดเสี่ยง..!!
รอวันระเบิด…หากไม่ดูแล
เพิ่งผ่านไปหมาดๆ กับเหตุการณ์ระทึกขวัญบ่อบำบัดน้ำเสียระเบิดบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาลาดพร้าว ส่งผลให้พ่อค้าแม่ค้าและขาช้อปทั้งหลายต่างตื่นตระหนกตกใจ ขวัญหนีไปตามๆ กัน ทิ้งความเคลือบแคลงใจสงสัยไว้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร..? แล้วในบ้านเราล่ะ..มีบ่อเกรอะหรือถังบำบัดน้ำเสียเหมือนกันเสียด้วย…จะเกิดเหตุร้ายแบบนี้ได้หรือไม่…?!?
รศ.ดร.ธเรศ ศรีสถิตย์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า เหตุการณ์บ่อบำบัดน้ำเสียระเบิดที่ผ่านมานั้น สันนิษฐานได้ว่าเกิดจากการมี “ก๊าซมีเทน” สะสมอยู่มาก และมีปัจจัยร่วมหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นอากาศที่ร้อนจัดในเวลากลางวัน จุดวางบ่อบำบัดอยู่ในที่โล่งแจ้งไม่มีต้นไม้ปกคลุม จึงทำให้พื้นดินเก็บความร้อนไว้มากและระอุอยู่ภายใน โดยคุณสมบัติของก๊าซมีเทนสามารถติดไฟได้เองหากอากาศบริเวณรอบๆ มีอุณหภูมิสูง โดยทั่วไปก๊าซมีเทนจะต้องเก็บในสถานที่ที่มีอุณหภูมิไม่สูงกว่า 55 องศาเซลเซียส
ถึงแม้ว่าประเทศไทยเราอากาศจะร้อนไม่ถึง 55 องศาเซลเซียสก็ตาม แต่ในดินซึ่งอยู่ใต้พื้นคอนกรีตสามารถสะสมความร้อนได้ เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งที่ก๊าซมีเทนที่อยู่ในบ่อบำบัดน้ำเสียสะสมอยู่มากและไม่สามารถระบายออกมาได้และประกอบกับได้รับความร้อนดังกล่าวจึงเกิดการระเบิดขึ้น
นอกจากนี้ การสะสมของตะกอนในบ่อบำบัดน้ำเสียก็มีผลปิดกั้นไม่ให้ก๊าซมีเทนระบายออกจากบ่อบำบัดน้ำเสียได้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะบ่อที่ไม่เคยดูดตะกอนออก ซึ่งการระเบิดครั้งนี้จะคล้ายกับภูเขาไฟระเบิด โดยเริ่มจากมีควันสีขาวพวยพุ่งออกมา จากนั้นมีกลิ่นเหม็นมาก มีน้ำพุ่งออกมาและมีเสียงดังเหมือนเกิดการระเบิดออกมา จะเห็นได้ว่าที่เกิดเหตุนั้นพื้นนูนขึ้นมาเหมือนภูเขาไฟและมีรอยแยก
หลายคนสงสัยว่าทำไมบริเวณดังกล่าวจึงเกิดระเบิดและบ่อบำบัดน้ำเสียจุดอื่นๆ สามารถระเบิดได้หรือไม่ อาจารย์ธเรศ ให้ความรู้ว่า ปกติบ่อบำบัดน้ำเสียลักษณะนี้จะนิยมทำไว้ใต้อาคารหรือใต้ลานจอดรถในที่ร่มไม่ใช่ที่โล่งแจ้งเหมือนกับจุดที่เกิดเหตุ จึงไม่มีปัจจัยเสี่ยง แต่อาจเกิดระเบิดได้เช่นกันหากเจ้าของไม่รู้จักดูแลรักษาหรือแม้กระทั่งในบ้านพักอาศัยของเรา ก็ต้องดูแลให้ดีด้วยเช่นกัน เพราะที่ผ่านมาเคยมีข่าวเหตุการณ์ “ส้วมระเบิด” มาแล้ว
น้ำเสียในชุมชนนิยมบำบัด 2 แบบคือ
1. แบบหมักไร้อากาศหรือไร้ออกซิเจน (anaerobic process) ระบบบำบัดน้ำเสียลักษณะนี้นิยมใช้กันมากกับน้ำเสียที่มีความสกปรกสูงๆ เช่น น้ำเสียจากส้วม โดยจะใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายสารอินทรีย์ เช่น อุจจาระ ของเสียหรือของสกปรกที่เราทิ้งลงไปในบ่อเกรอะ จากนั้นจะเกิดการย่อยสลาย มีผลผลิตที่มีก๊าซมีเทนเป็นส่วนประกอบ
โดยก๊าซมีเทนมีคุณสมบัติไวไฟ ติดไฟได้เอง เบากว่าอากาศและสามารถใช้เป็นแก๊สหุงต้มในบ้านเราได้ เมื่อก๊าซมีเทนสะสมมากขึ้นจะค่อยๆ ลอยตัวขึ้นสู่ด้านบน จึงต้องต่อท่อระบายอากาศให้ระบายออกไปด้านนอก แต่หากไม่มีท่อหรือท่อตันก๊าซมีเทนจะค่อยๆ สะสมรวมตัวมากขึ้นและถ้ามีความร้อนมาช่วยเสริมการขยายตัวก็จะเกิดระเบิดได้ คล้ายกับลูกโป่งหากขยายใหญ่ขึ้นจนถึงจุดหนึ่งแล้วก็จะแตกเช่นกัน
หลังจากทำการบำบัดของเสียแล้วอย่าลืมว่าจะต้องมีตะกอนหลงเหลืออยู่ ถ้าตะกอนเล็กๆ รวมตัวกันอัดอั้นขึ้นมาจนปิดทางออกโดยเฉพาะรูระบายอากาศ ซึ่งบางครั้งจะพบว่าตะกอนอัดอยู่นานจนกลายเป็นก้อนแข็ง มีผลทำให้ระบายก๊าซมีเทนออกมาไม่ได้และหากมีปัจจัยร่วมก็จะทำให้ระเบิดได้ดังที่กล่าวไปแล้ว
2. แบบใช้อากาศ (ae – robic process) เป็นระบบบำบัดน้ำเสียที่อาศัยการเติมออกซิเจนจากเครื่องเติมอากาศ ระบบนี้มีผลผลิตหลักๆ คือ “ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์” และระบบบำบัดน้ำเสียแบบนี้จะไม่เกิดก๊าซมีเทน โดยจุลินทรีย์จะใช้ก๊าซออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้ำเสียไปย่อยสลายสารอินทรีย์ให้กลายเป็นกากตะกอน นอกจากนั้นยังเกิดก๊าซอื่นๆ และความร้อน ซึ่งระบบนี้จะมีประสิทธิภาพมากกว่าระบบไร้อากาศ แต่การดำเนินการและดูแลรักษายุ่งยากกว่า
ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันเหตุบ่อบำบัดน้ำเสียระเบิดเราจึงควรหมั่นดูแลรักษาและตรวจสอบให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ โดยเริ่มจากการตรวจสอบเบื้องต้นหรือแบบชาวบ้านด้วยการดมกลิ่นและเปิดฝาท่อดูระบบการไหลเวียนของน้ำเสียที่ไหลเข้ามาและสังเกตน้ำที่ไหลออกไปด้านนอก ว่ายังคงไหลสะดวกอยู่หรือไม่ มีตะกอนมากน้อยแค่ไหน สะอาดหรือไม่ รวมทั้งรูระบายอากาศที่ต่อออกจากบ่อบำบัดยังคงทำงานดีไหม ต้องไม่มีแมลงเข้าไปทำรังในท่อระบายอากาศหรืออาจจะติดตะแกรงป้องกันแมลงเข้าไปทำรังด้วยก็ได้
สำหรับแนวท่อระบายน้ำในบ้านเรามักไม่ค่อยมีอันตรายหรือปัญหาเท่าใดนัก แต่ก็ควรหมั่นตรวจสอบบ่อยๆ โดยเฉพาะบางบ้านที่ไม่มีบ่อดักไขมันอาจทำให้ไขมันจากเศษอาหารไปอุดตันท่อได้ แต่ปัญหานี้เราสามารถแก้ไขได้ด้วยการนำโซเดียมไฮดรอกไซด์ (sodium hydroxide) หรือที่เราเรียกว่า “โซดาไฟ” ผสมน้ำและใส่ลงไปในบริเวณที่อุดตันหรืออ่างล้างจาน สารเคมีจะไปทำลายไขมันหรือเศษอาหารที่ติดอยู่ตามท่อให้หลุดไปและใช้งานได้ แต่ทางที่ดีควรมีตะแกรงดักเศษอาหารไว้บริเวณอ่างล้างจานด้วยเพื่อกรองเศษอาหารไม่ให้ไปอุดตันท่อ
สำหรับห้องน้ำ ต้องดูแลมากเป็นพิเศษ เพราะปกติระบบบำบัดน้ำเสียตามบ้านเรือนจะใช้แบบหมักไร้อากาศเมื่อย่อยสลายแล้วจะมีตะกอนหลงเหลืออยู่ที่บ่อบำบัด จึงควรใช้บริการของพนักงานดูดส้วมของกรุงเทพมหานครหรือเทศบาลทุกๆ 2 – 3 ปี ที่สำคัญอย่าใส่สารเคมีประเภทโซดาไฟ น้ำยาล้างห้องน้ำหรือน้ำซักผ้าลงไปในโถส้วมหรือชักโครก เพราะสารพวกนี้มีฤทธิ์เป็นกรด – ด่างจะทำให้จุลินทรีย์ที่ช่วยย่อยสลายอุจจาระตาย ส่งผลให้ไม่มีตัวช่วยในการย่อยสลายทำให้ส้วมเต็มเร็วขึ้นและส่งกลิ่นเหม็นรบกวน เราจึงควรใช้น้ำสะอาดราดลงโถส้วมหรือชักโครก เพื่อให้สถานะความเป็นกรด – ด่างปกติไม่มากเกินไป เพื่อทำให้จุลินทรีย์ยังอยู่และเป็นตัวช่วยในการย่อยสลายจากตะกอนใหญ่เป็นตะกอนเล็ก ยืดอายุการทำงานของถังส้วมต่อไปได้
แต่ถ้าเราไม่ทราบว่าจะดูดส้วมเมื่อใดให้ใช้วิธีสังเกตได้ง่ายๆ หากส้วมเต็มจะมีกลิ่นเหม็นที่คงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนอุจจาระไม่ย่อยสลาย กดชักโครกหรือราดน้ำไม่ลง ทั้งที่มีระบบบำบัดสำเร็จรูปหรือมีบ่อเกรอะบ่อซึม หากพบเหตุการณ์เช่นนี้สันนิษฐานในเบื้องต้นได้ว่าส้วมเต็ม ควรจะติดต่อเจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานครหรือเทศบาลที่เราอาศัยอยู่ให้มาสูบออกไปกำจัดอย่างถูกวิธีต่อไป
บ้านไม่ใช่สูตรสำเร็จรูปที่ซื้อมาแล้วสามารถอยู่ได้ตลอดโดยไม่ดูแลรักษา เมื่อทราบเช่นนี้แล้วหวังว่าเราจะเริ่มต้นสังเกตและตรวจสอบส้วมในบ้านได้แล้ว เพื่อความสะอาดถูกสุขลักษณะที่ดีและที่สำคัญสร้างความปลอดภัยสำหรับทุกคนในบ้านด้วย
ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
update 24-06-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
– บันได-ห้องน้ำ จุดเสี่ยงผู้สูงอายุ
– 8 จุดอันตรายในโรงเรียน
– ป้องกันอุบัติเหตุในบ้านกับเด็กช่วงปิดภาคเรียน
– รับมือจุดอันตราย เพิ่มพื้นที่ปลอดภัยสำหรับลูก
– ชี้ ห้องปรับอากาศแหล่งสะสมโรคชั้นดี