บุกจุฬาฯ เยี่ยมคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา
ผู้จัดการ สสส. เยี่ยมเพื่อนภาคีต่อเนื่อง เยือนถิ่นจามจุรี ณ คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา ตามดูโครงการรับน้องปลอดเหล้า
ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เดินทางสู่ คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี รศ.ดร.วิชิต คนึงสุขเกษม คณบดีคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาและ ผศ.ดร.สุชาติ ทวีพรปฐมกุล ผู้จัดการแผนงานทุนอุปถัมภ์เพื่อสนับสนุนกิจกรรมปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานศึกษา พร้อมทีมงานให้การต้อนรับ
ดร.สุชาติ กล่าวว่า จุฬาฯ โดยคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับ สสส. ใน 2 แผนงาน คือ แผนแผนงานทุนอุปถัมภ์เพื่อสนับสนุนกิจกรรมปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานศึกษา หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “โครงการรับน้องปลอดเหล้า” ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2548 เพื่อกระตุ้นให้นักเรียน นักศึกษาเกิดความตระหนักเรื่องโทษของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ พร้อมไปกับการสร้างแกนนำและกลุ่มผู้นำกิจกรรมในการรณรงค์เรื่องเหล่านี้ในมหาวิทยาลัย จนมาถึงปัจจุบันได้ขยายสู่ระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนสี่เหล่าทัพ และสถาบันอาชีวศึกษา และได้ต่อยอดสู่การรณรงค์ประเด็นสุขภาพอื่นๆ ในสถานศึกษา รวมทั้งการขยายผลสู่ชุมชนรอบข้างสถาบันเพื่อให้เกิดความยั่งยืน
“อีกแผนงานคือ แผนงานส่งเสริมกิจกรรมทางกาย การออกกำลังกายและกีฬาเพื่อสุขภาพ ด้วยต้องการเป็นแผนงานเชิงรุกที่หนุนเสริมให้ชุมชนต่างๆ ได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการออกกำลังกายในพื้นที่ของตน รวมถึงการสนับสนุนนวัตกรรมการออกกำลังกายและกีฬาเพื่อสุขภาพในแต่ละท้องถิ่น โดยมีกิจกรรมในปีที่ผ่านมา เช่น การพัฒนาอัจฉริยะตาราง 9 ช่อง, การส่งเสริมสุขภาพสำหรับพระภิกษุ, การสอนมวยไทยในสถานศึกษา เป็นต้น เพราะเราต้องการให้คนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย ทุกพื้นที่ ได้มีกิจกรรมเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน ให้การออกกำลังกายได้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ส่งผลให้ประชาชนปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ” ดร.สุชาติ กล่าว
ทพ.กฤษดา กล่าวขอขอบคุณ อาจารย์วิชิต อาจารย์สุชาติ และทีมงานทุกคน ที่ช่วยเหลือ สสส. ในการทำงานด้านการออกกำลังกายมามากมาย การมาเยี่ยมภาคี ถือเป็นภารกิจของผู้จัดการ สสส. ในการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสสส.และเพื่อนภาคีให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น มาฟังความคิดเห็น พูดคุยแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้ไอเดียกลับไปทำงาน ที่ผ่านมา สสส.ได้ผลักดันเรื่องการออกกำลังกายมาโดยตลอด แต่จากสถิติพบว่า อัตราการออกกำลังกายของประชาชนเพิ่มขึ้นไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ค่าเฉลี่ยของคนออกกำลังกายทั้งประเทศมีเพียง 32.9 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องช่วยกันคิดแก้ไข
ด้าน ดร.วิชิต กล่าวว่า โดยส่วนตัวคิดว่า คนไทยออกกำลังกายเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากจำนวนฟิตเนสที่เปิดมากขึ้น คนไปออกกำลังกายตามสวนสาธารณะเยอะขึ้น ในเรื่องนี้ คงต้องย้อนกลับไปดูที่ตัวชี้วัดใหม่ ว่ามีความเที่ยงตรงสามารถใช้วัดได้จริงหรือไม่ อย่างเช่นชาวนาที่มีการใช้แรงงานทั้งวัน แต่พอไปวัด กลายเป็นไม่ออกกำลังกาย ถ้าเครื่องมือที่เราใช้วัด สามารถบอกได้ว่า สิ่งที่พวกเขาทำเป็นการออกกำลังกาย อัตราของคนที่ออกกำลังกายก็จะเพิ่มขึ้น เป็นต้น สิ่งสำคัญอีกอย่างที่เราควรคิดพัฒนา คือ วิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับแต่ละอาชีพ เพื่อให้การออกกำลังกาย กลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตประจำวันของพวกเขา
เรื่อง: ศิรินทิพย์ อิสาสะวิน teamcontent www.thaihealth.or.th