นักวิชาการแนะเพิ่มมาตรการความปลอดภัยการเดินทาง หวั่นซ้ำรอยบัสเชียร์บอลคว่ำ
ศวปถ. หวั่นเกิดเหตุซ้ำรอย บัสเชียร์บอลคว่ำเหมือนที่เชียงราย เตือนฤดูกาลแข่งบอลลีกนานกว่า 8 เดือน แข่งมากกว่า 200 นัด เสนอ สมาคมฟุตบอลฯ สร้างบรรทัดฐานความปลอดภัยในการเดินทาง เชื่ออุบัติเหตุป้องกันได้ด้วยการสร้างมาตรฐานตัวรถ มีคนขับสำรอง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แนะผู้โดยสารเสียหายเรียกร้องสิทธิได้ ด้าน ประธาน บ.พรีเมียร์ลีก เตรียมหารือร่วมกับ ศวปถ. ยินดีเพิ่มมาตรการความปลอดภัย
นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) กล่าวถึงกรณีเหตุการณ์โศกนาฎกรรมรถบัสเชียงรายคว่ำ 7 ศพ ว่า อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้ ตามปกติรถโดยสารขนาดใหญ่ถือว่ามีความปลอดภัยกว่ารถยนต์ หรือ รถตู้
“แต่จากการวิเคราะห์สาเหตุการเสียชีวิต มีปัญหาที่พบบ่อยๆ คือ 1.เก้าอี้หลุดจากที่ยึดเกาะทำให้กระแทกผู้โดยสารอย่างรุนแรงจนเสียชีวิต 2.ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย และ3.พนักงานขับรถไม่ชำนาญทาง และมีคนขับเพียงคนเดียว ซึ่งตามเกณฑ์ความปลอดภัยหากต้องเดินทางไกลเกิน 400 กิโลเมตร ต้องมีพนักงานขับรถเปลี่ยน อีกทั้งควรดูแลองค์ประกอบรถอย่างดีโดยเฉพาะระบบเบรค ล้อ ซึ่งในกรณีนี้มีปัจจัยอื่นเกี่ยวข้องด้วยคือมีการตัดหน้ารถอย่างกระชั้นชิด” นพ.ธนะพงศ์ กล่าว
ผู้จัดการ ศวปถ.กล่าวอีกว่า สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ถือเป็นองค์กรที่ต้องดูแลการแข่งขันปีละจำนวนมาก ซึ่งโปรแกรมการแข่งขันทั้งไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก ไทยลีกดิวิชั่น 1 และ 2 ที่มีจำนวนทีมอยู่ต่างจังหวัดกว่า 20 ทีม ซึ่งช่วงเดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไป เป็นฤดูการแข่งขันไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกเลกที่สอง ซึ่งมีความเข้มข้นมากขึ้น โดยตลอดทั้งปีกินเวลาแข่งขันนานกว่า 8 เดือน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-ตุลาคม มีการแข่งขันร่วม 200 นัด ต้องมีการเดินทางเพื่อแข่งขันกันตลอดทั้งทีมนักฟุตบอลและกองเชียร์ จึงควรมีมาตรการเพื่อป้องกันและลดความสูญเสีย ถือเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้แก่องค์กรอื่นๆ เรื่อง “มาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทาง” เพื่อเป็นแบบอย่างให้ทุกคนหันมาสนใจเรื่องความปลอดภัยเพิ่มขึ้น
นพ.ธนะพงศ์ กล่าวว่า ตนมีข้อเสนอเพื่อลดความสูญเสียต่อทั้งสมาคมฟุตบอล ผู้ จัดไทยพรีเมียร์ลีก และผู้รับผิดชอบสโมสรฟุตบอลทุกสโมสร ต้องออกมากำหนดกรอบการดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง ด้วยการวางมาตรฐานคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีพนักงานขับรถ ตัวรถที่ได้มาตรฐาน และอุปกรณ์ความปลอดภัย ตามข้อแนะนำ อาทิ 1.รถที่เช่าต้องได้รับการตรวจสภาพอย่างดี 2.ภายในรถมีอุปกรณ์ความปลอดภัย ได้แก่ เข็มขัดนิรภัย ค้อนทุบกระจก ถังดับเพลิง ประตูฉุกเฉิน ซึ่งผลวิจัยพบว่า เข็มขัดนิรภัยจะรักษาชีวิตได้ 30% 3.หากเดินทางไกลต้องมีพนักงานขับรถ 2 คนผลัดกัน ไม่ขับติดต่อกันนานกว่า 4 ชั่วโมง และ4.พนักงานขับรถต้องมีประสบการณ์และใบอนุญาตขับรถสาธารณะ โดยวางแผนเส้นทางอย่างดี โดยดูแลทั้งการเดินทางของทีมฟุตบอลและกองเชียร์ด้วย
นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โครงการส่งเสริมสนับสนุนสิทธิผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ กล่าวว่า การดำเนินการของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา ประเด็นสิทธิผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ พบว่า มีคดีเกี่ยวกับอุบัติเหตุในรถโดยสารแบบเช่าทั้งทัศนาจร และรับส่งพนักงาน ยื่นฟ้องต่อศาลเรียกร้องค่าเสียหายถึง 49 คดี จาก 124 คดี คิดเป็น 39.52% ดังนั้นรถโดยสารที่เลือกใช้จึงควรมีความคุ้มครองจากประกันภัยทั้งภาคบังคับและ สมัครใจ เพื่อคุ้มครองผู้โดยสาร
“เมื่อเกิดความเสียหายจะสามารถร้องเรียนค่าชดเชย ค่าเยียวยาให้พนักงานขับรถ เจ้าของบริษัทรถโดยสารคันที่เกิดเหตุ ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าปลงศพในกรณีที่เสียชีวิต ความเสียหายของทรัพย์สินที่นำติดตัวไปในการเดินทาง ขาด โอกาสหรือสูญเสียโอกาสในการทำงาน ขาดไร้ผู้อุปการะ ทั้งนี้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคยินดีให้คำปรึกษา แนะนำ หรือช่วยดำเนินการด้านคดีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-248-3737” นายอิฐบูรณ์ กล่าว
นายวิชิต แย้มบุญเรือง ประธานบริษัทไทยพรีเมียร์ลีก กล่าวว่า มาตรการความปลอดภัยของภาครัฐที่นำมาใช้ป้องกันอุบัติเหตุในปัจจุบันถือว่าดี อยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงสโมสรฟุตบอลต่างๆ ยังไม่ได้นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติ โดยเฉพาะการจ้างพนักงานขับรถ 2 คนกรณีต้องเดินทางไกลเพราะต้องเพิ่มภาระค่าใช้จ่าย ในส่วนของบริษัทไทยพรีเมียร์ลีกได้พยายามหามาตรการแก้ปัญหาเพื่อไม่ให้เกิด เหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีก โดยเร็วๆ นี้จะหารือร่วมกับศวปถ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทางบริษัทฯ ยินดีเต็มที่ในการดำเนินการตามคำแนะนำ รวมถึงจะกำชับไปยังทุกสโมสรให้ปฏิบัติตามแนวทางมาตรการป้องกันอุบัติเหตุ อย่างเข้มงวดมากขึ้น เพราะนั่นหมายถึงความปลอดภัยในชีวิตของแฟนบอลทุกคน
ที่มา: หนังสือพิมพ์astvผู้จัดการ