ทาน ศีล ภาวนา…จะเลือกทำข้อไหนกันดี

“วันพระ วันศุกร์ที่ 15 ก.ค.54 วันอาสาฬหบูชา, วันเสาร์ที่  16 ก.ค.54 วันเข้าพรรษา   :  ศีลเป็นบ่อเกิดของความสุข  ศีลทำให้อุดมสมบูรณ์ เจริญรุ่งเรือง ศีลทำให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน เข้าพรรษาแล้วมาตั้งจิตอธิษฐานทำความดีในระหว่างเข้าพรรษากันอย่างน้อยคนละข้อ…ดีไหมคะ กราบโมทนาล่วงหน้ากับทุกท่านด้วยค่ะ”


ทาน ศีล ภาวนา


วันนี้เราจะมาพูดกันถึงเรื่องของการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนากัน…  แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น…  ต้องกราบขอขมาต่อทุก ๆ ท่าน และสำนักปฏิบัติธรรมธุดงคสถานป่าศิริสมบูรณ์ด้วยค่ะที่ลงข้อมูลผิดพลาดไป…  จากที่ว่า “เป็นวัดสาขาที่ 82 ของวัดหนองป่าพง” นั้น…  ขอแก้ไขเป็นวัดสาขาสำรองที่ 41 แทนค่ะ


เชื่อแน่ว่าคนพุทธส่วนใหญ่ทราบว่าอานิสงส์ของทาน ศีล ภาวนา มีอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นทำทานกับสัตว์เดรัจฉาน ๑๐๐ ครั้ง ก็เทียบไม่ได้กับการทำทานกับคนที่ไม่มีศีลเลยแค่ครั้งเดียว… ไปจนถึงว่า ถวายทานกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสัก 100 ครั้ง ก็เทียบไม่ได้เลยกับการถวายสังฆทานเพียงครั้งเดียว… หรือทำสังฆทานเป็นพันล้านหมื่นล้านก็เทียบไม่ได้กับการถือศีลเพียงข้อเดียว… และถือศีลบริสุทธิ์ถึง 227 ข้อ ตลอดชีวิต ก็เทียบไม่ได้เลยกับการภาวนาเพียงครั้งเดียว…


ดังนั้นจึงมีคนจำนวนไม่น้อยกล่าวว่า… จะถวายทานถวายปัจจัยให้พระให้เจ้าอะไรกันนัก จะสร้างวัดไปทำไมกันมากมาย มีแต่ของนอกกาย ยิ่งทำให้ยึดให้ติด ยิ่งเป็นการส่งเสริมให้พระสงฆ์ทั้งหลายหลงไปกับลาภสักการะ สู้ถือศีล เจริญกรรมฐานก็ไม่ได้…


แต่ลองหยุดคิดกันจริง ๆ จัง ๆ สักทีจะดีไหม ว่าการพูดแบบนั้นถูกต้องหรือไม่…


ประการแรกเลย ผู้ที่จะสร้างบารมีโดยที่จะปฏิบัติธรรมเจริญภาวนาเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่ทำทาน ไม่ถือศีลนั้น แสดงให้เห็นเลยว่าผู้นั้นยังไม่เข้าใจแม้เพียงพื้นฐานของพระพุทธศาสนาของการปฏิบัติธรรม ไม่เข้าใจถึงระดับของความละเอียดและหยาบแห่งจิตใจของคน เพราะการทำทานเป็นการเริ่มต้นกำลังใจของการทำความดี นั่นคือ เริ่มที่จะละความรัก ความโลภที่มีอยู่ในจิตใจ ถ้าเรากำลังจะกินข้าว แล้วมีคนที่กำลังจะอดตายเพราะไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้วมาร้องขอข้าวอยู่ตรงหน้า ถ้าตัดตัวรักตัวเองห่วงตัวเองว่ามื้อนั้นจะต้องอด (แต่มื้อต่อไปไม่อด) ออกไปไม่ได้  ยังมีความโลภในของของตัวเองว่าให้ใครไม่ได้ เพียงเท่านี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า  คนผู้นั้นขาดซึ่งความเมตตา กรุณา ขาดซึ่งความรัก ความสงสารในบุคคลอื่น ไม่ต้องคิดถึงเลยว่าจะคิดถึงหัวอกคนอื่น ในเรื่องของการถือศีล ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากขึ้นไปอีก คนผู้นั้นจะปฏิบัติได้หรือ  ดังนั้นองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงกล่าวว่า ทานเป็นพื้นฐานของศีล และทานและศีลเป็นพื้นฐานของการภาวนา


ประการต่อไป ผู้ที่คิดเช่นนั้นควรเป็นผู้ที่มีกำลังใจที่เข้มแข็งมั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์แล้วว่าตัวเองจะต้องไม่กลับมาเกิดอีกแน่นอน เกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้ว  ตายเมื่อไหร่เข้าพระนิพพานเมื่อนั้น เพราะอะไร เพราะผู้ที่เข้าพระนิพพานแล้วเท่านั้นที่ไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สินที่เป็นวัตถุธาตุใด ๆ ในการดำรงชีวิต ดำรงธาตุขันธ์อีกต่อไปแล้ว แต่คนที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่  ยังต้องมีที่อยู่ที่พักอาศัย (ซึ่งเป็นผลจากวิหารทาน การสร้างวัดสร้างศาสนสถาน) ยังต้องมีอาหาร มีเงินทองใช้สอย มีเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ สำหรับใช้ในชีวิตประจำวันอยู่ ถ้าอยากเกิดมามีปัญญาดี เฉลียวฉลาดก็จงหมั่นเจริญภาวนา แต่ถ้าไม่ทำทานมาเลย  ฉลาดแค่ไหนก็อดตายแน่เพราะไม่เคยสร้างไม่เคยสะสมเสบียงของตัวเองไว้เลย


ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ถ้าไม่ถือศีล เพราะถ้าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือเบียดเบียนคนอื่นด้วยการกระทำ ฉลาดแค่ไหน  เกิดมาอยู่ได้ไม่กี่ปี อาจจะยังไม่ทันพ้นวัยเด็กเล็ก ๆ ด้วยซ้ำก็ต้องเสียชีวิตไปก่อนแล้ว เพราะกรรมที่เคยไปฆ่าเขามันส่งผล ถ้าไม่ถึงกับฆ่าแกงใครแต่ก็ทำทารุณกรรม ใช้ความรุนแรงกับผู้อื่น เกิดมาก็ต้องโดนคนอื่นกระทำกลับมาแบบเดียวกัน หรืออาจจะกลายเป็นคนขี้โรค คนพิการ ง่อยเปลี้ยเสียขา


แต่ถ้าไปเบียดเบียนคนอื่นด้วยคำพูด ซึ่งก็คือการทำร้ายจิตใจ เป็นการฆ่าผู้อื่นทั้งเป็น ฉลาดแค่ไหน ก็จะมีแต่คนโขกสับ ใช้คำพูดวาจาที่คอยแต่จะทิ่มแทงหัวใจให้ต้องเจ็บช้ำน้ำใจอยู่ตลอด หรือถ้าเคยไปใส่ร้ายป้ายสีใครเขา ยุแยงให้คนเกลียดกันทะเลาะกัน ลองสังเกตดูเถิด ชาตินี้มีไหม ทำไมถึงมีแต่คนคอยใส่ร้าย กลั่นแกล้งต่าง ๆ นานา  นั่นล่ะผลที่ผิดศีลข้อแรก เพราะ  “กรรม” ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นมาจากใจก่อนทั้งสิ้น แล้วจึงขยายผลไปถึงกายและวาจา


คราวต่อไปมาดูกันสิว่า ในเมื่อไม่ว่าจะทำอะไรลงไป ย่อมมีผลสะท้อนกลับมาที่ผู้กระทำเสมอแบบนี้ แล้วทีนี้จะเลือกทำเฉพาะ ทาน ศีล หรือภาวนากันดี


 


 


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์  

Shares:
QR Code :
QR Code