`ติดเค็ม`ก่อโรคไต ไม่แค่ผู้ใหญ่..เด็กไทยก็เสี่ยง
ที่มา : แนวหน้า
ภาพโดย สสส.
"NCDs (Non-Communicable diseases)" แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า "กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง" หมายถึง โรคที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ไม่สามารถติดต่อไปสู่ผู้อื่นได้ แต่ทำให้สภาพร่างกายแย่ลง โดยมีสาเหตุมาจากการใช้ชีวิตที่มีปัญหา เช่น ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่
ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่ออกกำลังกาย ตลอดจนการรับประทานอาหารรสจัด โรคกลุ่ม NCDs ที่รู้จักกันดี อาทิ เบาหวาน โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ ถุงลมโป่งพอง มะเร็ง ความดันโลหิตสูง โรคไต รวมถึงภาวะน้ำหนักเกิน (อ้วนลงพุง)
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย และอีกหลายหน่วยงาน จัดแถลงข่าว "แก้ปัญหาพฤติกรรมเด็กติดเค็ม" ที่อาคาร สสส. ย่านสาทร – งามดูพลี กรุงเทพฯ โดย พ.อ.นพ.อดิสรณ์ ลำเพาพงศ์ กรรมการบริหาร สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มคนไทยป่วยเป็นโรคไตเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ต่อปี และมีผู้ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นถึง 1,500,000 คน ภายในระยะเวลา 5 ปี
ซึ่งโรคเหล่านี้สัมพันธ์กับพฤติกรรมกินเค็ม "ไม่เฉพาะผู้ใหญ่แต่ยังรวมถึงเด็กด้วย" โดยปริมาณโซเดียมเฉลี่ยที่เด็กรับประทานอยู่ที่ 3,194 มิลลิกรัม/วัน ขณะที่ปริมาณโซเดียมที่เด็กวัยเรียนควรได้รับ อายุ 6 – 8 ปี อยู่ที่ 325 – 950 มิลลิกรัม อายุ 9 – 12 ปี อยู่ที่ 400 – 1,175 มิลลิกรัม และอายุ 13 – 15 ปี อยู่ที่ 500 – 1,500 มิลลิกรัม" เนื่องจากโซเดียมเป็นสารปรุงรสในอาหารเพื่อกระตุ้นน้ำลาย ทำให้เด็กอยากอาหารมากขึ้น เป็นที่พอใจของผู้ปกครอง แต่ถ้ากินเค็มมากเกินไปก็เกิดปัญหาติดรสเค็ม" ซึ่งจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงเมื่อโตขึ้นในอนาคต
เช่นเดียวกับ นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่ระบุว่า คนไทย 3 ใน 4 เสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต "การบริโภคโซเดียมที่เกินความต้องการ ทำให้คนไทยเสียชีวิตถึงปีละกว่า 20,000 คน และมีความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากพฤติกรรมติดเค็มสูงถึง 98,976 ล้านบาทต่อปี จากโรคหัวใจและหลอดเลือดและไตวายระยะสุดท้าย" การลดปริมาณการบริโภคโซเดียมลงจึงเป็นมาตรการที่จะช่วยปกป้องชีวิตของประชาชนได้ดีที่สุดทางหนึ่ง
ขณะที่ ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดการบริโภคเค็ม กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปและขนมกรุบกรอบที่พบว่ามีปริมาณโซเดียมสูง เช่น โจ๊กสำเร็จรูป 1 ถ้วย มีปริมาณโซเดียมสูงถึง 1,269 มิลลิกรัม ส่วนขนมที่มีโซเดียมสูง เช่น ปลาเส้น มีปริมาณโซเดียมถึง 666 มิลลิกรัม/ซอง สาหร่าย 304 มิลลิกรัม/ซอง มันฝรั่งทอด 191 มิลลิกรัม/ซอง การบริโภคอาหารเหล่านี้เพียง 1 ซอง ปริมาณโซเดียมก็เกินความต้องการต่อวันแล้ว" หากเด็กเคยชินกับการกินเค็มก็อาจกลายเป็นผู้ใหญ่ติดเค็ม ส่งผลต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง หัวใจ และไต
นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. กล่าวว่า ในสหรัฐอเมริกา พบว่าร้อยละ 90 ของเด็กและเยาวชนกินเค็มเกินกว่าค่ามาตรฐาน โดยพบเด็กเริ่มกินเค็มอายุน้อยที่สุดคือ 1 – 3 ขวบ ถึง ร้อยละ 79 ส่งผลให้ 1 ใน 7 คน ของเยาวชนอายุระหว่าง 12 – 19 ปี มีความดันโลหิตสูง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง จึงมีมาตรการปรับสูตรลดปริมาณโซเดียมในอาหารและขนมขบเคี้ยว โดยมีการวิเคราะห์ว่า "หากลดโซเดียมเพียง ร้อยละ 9.5 ในเด็กจะช่วยป้องกันโรคหัวใจได้กว่า 1 ล้านรายและประหยัดงบประมาณจากค่ารักษาพยาบาลได้ถึง 32 พันล้านเหรียญสหรัฐ" เช่นเดียวกับในแคนาดามีมาตรการแก้ปัญหาพฤติกรรมเด็กติดเค็ม โดยพบว่า เด็กอายุ 4-8 ปี มากกว่าร้อยละ 90 บริโภคอาหาร ที่มีโซเดียมสูงและมีความเสี่ยงต่อภาวะความดันโลหิตสูง เมื่ออายุมากขึ้น โดยร้อยละ 75 ของโซเดียมที่บริโภคมา จากอาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป และในร้านอาหาร กระทรวง สาธารณสุขแคนาดาจึงกำหนดเป้าหมายลดปริมาณโซเดียมลง
"สำหรับประเทศไทยนอกจากมาตรการจูงใจให้ ผู้ประกอบการปรับสูตรเพื่อลดปริมาณโซเดียมในขนมกรุบกรอบและอาหารกึ่งสำเร็จรูปแล้ว ควรมีการให้ความรู้กับ ผู้ปกครอง การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการลดเค็ม โดยดูฉลากปริมาณโซเดียมหรือแบ่งบริโภคต่อมื้อ ไม่ควรกินจนหมดซองในมื้อเดียว และส่งเสริมการบริโภคผัก – ผลไม้" นพ.ไพโรจน์ กล่าว
ด้าน นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงการประกาศเจตนารมณ์แก้ปัญหาพฤติกรรมเด็กติดเค็ม โดยกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับภาคีเครือข่ายได้จัดทำยุทธศาสตร์ลดการบริโภคเกลือและโซเดียมในประเทศไทย ตั้งเป้าหมายลดเค็มให้ได้ร้อยละ 30 ภายในปี 2568 สอดคล้องกับเป้าหมายร่วมกันขององค์กรอนามัยโลก (WHO) เนื่องจากปัจจุบันมีคนไทย 22.05 ล้านคน ป่วยเป็นโรคที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมติดเค็ม ทั้งความดันโลหิตสูง หลอดเลือดสมอง หัวใจขาดเลือด และโรคไต
จึงเกิดความร่วมมือของทุกภาคส่วนร่วมกันลดการบริโภคเกลือและโซเดียม โดยเฉพาะการปกป้องเด็กและเยาวชนเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคในอนาคต ทั้งการติดฉลากโภชนาการและให้ความรู้กับผู้บริโภค การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการปรับสูตรปริมาณโซเดียมลง ให้ได้ร้อยละ 10 ในทุก 2 ปี รวมทั้งสนับสนุนนโยบายการคลังที่เหมาะสมเพื่อให้ ผู้ประกอบการผลิตอาหารที่ดีต่อสุขภาพในราคาไม่แพง
องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้ "วันพฤหัสบดี สัปดาห์ที่ 2 ในเดือนมีนาคมของทุกปี เป็นวันไตโลก" โดยเน้นถึงภาวะไตเรื้อรัง โดยแนวทางในการป้องกันไตเสื่อม เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การเลือกรับประทานอาหาร ดื่มน้ำสะอาด ออกกำลังกาย ลดการบริโภคเค็ม งดดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ซึ่งจะช่วยป้องกันและชะลอการเสื่อมของไตได้ การลดความเค็มในอาหารจะลดการเกิดโรคที่เกิดจากการบริโภคโซเดียมเกินได้
นอกจากนี้ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไต เช่น ผู้ที่เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคไต ผู้ที่เป็นโรคไตตั้งแต่เด็ก ควรได้รับการตรวจคัดกรองโรคไตทุกปี ได้แก่ การตรวจปัสสาวะ เจาะเลือด และวัดความดันโลหิต ซึ่งสำหรับกิจกรรม วันไตโลก ในปี 2562 นี้จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 17 มี.ค. 2562 ที่ลานเอเทรียม ชั้น 1 ภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ แยกราชประสงค์ กรุงเทพฯ ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย!!!