ดูฉลากโภชนาการให้เป็น ลดเค็ม ลดโรค
เรื่องโดย: เทียนทิพย์ เดียวกี่ Team Content www.thaihealth.or.th
ข้อมูลจาก: หนังสือโซเดียมปีศาจร้าย ทำลายสุขภาพ
ให้สัมภาษณ์โดย: ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส.
ภาพโดย: นัฐพร ชุ่มลือ Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ
ซองขนมสีสันสดใส ตั้งเรียงรายบนชั้นวางของภายในร้านสะดวกซื้อ ล่อตาล่อใจทุกเพศทุกวัย ทั้งรสชาติที่แปลกใหม่และรสชาติที่คุ้นเคยให้เลือกหยิบลงตะกร้าได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุผลสั้นๆ ที่ว่า ‘อร่อยดี’
รู้หรือไม่ นอกจากความอร่อยแล้ว ขนมขบเคี้ยวในมือของคุณยังแฝงไปด้วยโซเดียม ซึ่งหากร่างกายได้รับในปริมาณที่มากเกินไป จะเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หลอดเลือดอุดตัน ความดันโลหิตสูง และไตวายในที่สุด
องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำการบริโภคโซเดียมที่เหมาะสม ไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัม/วัน หรือเทียบเท่าเกลือ 5 กรัม หรือ 1 ช้อนชา ในขณะที่ผู้ใหญ่ไทยบริโภคโซเดียมสูงกว่าที่กำหนด 2 เท่า สิ่งที่น่าจับตามองคือ เด็กไทยบริโภคโซเดียมเกิน 5 เท่า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และหน่วยงานพันธมิตร จึงร่วมประกาศเจตนารมณ์ แก้ปัญหาพฤติกรรมเด็กติดเค็ม โดยตั้งเป้าหมายลดเค็มให้ได้ 30 % ภายในปี 2568 เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคในอนาคต
หนึ่งในพฤติกรรมติดเค็มของเด็ก มาจากการปรุงอาหารของผู้ปกครอง โดย ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. ให้คำแนะนำพ่อแม่ในการเลือกอาหารและขนมให้ลูกว่า พ่อแม่สามารถบอกให้ลูกรู้ถึงคุณประโยชน์ของอาหารแต่ละประเภท เช่น อาหารกึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว สิ่งสำคัญคือ ต้องดูฉลากปริมาณโซเดียมหรือแบ่งบริโภคต่อมื้อให้เป็น ไม่ควรบริโภคจนหมดซองในมื้อเดียว รวมทั้งควรสร้างวินัยในการบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ ถ่ายทอดความรู้ในเรื่องขนมขบเคี้ยวและอาหารให้พี่เลี้ยง และส่งเสริมการบริโภคผักผลไม้ เป็นต้น
วิธีสังเกตปริมาณและคำนวณโซเดียม
ข้อมูลโภชนาการด้านข้างหรือหลังซองอาหาร จะบ่งบอกว่า ภายในบรรจุภัณฑ์นี้ มีปริมาณโซเดียมเท่าไหร่ สิ่งที่ควรสังเกตต่อมาคือ ต้องดูที่จำนวนหน่วยบริโภคต่อซองด้วย เช่น ขนมมันฝรั่งทอดยี่ห้อหนึ่ง ระบุว่า มีโซเดียม 170 มก. ในขณะที่ จำนวนหน่วยบริโภคต่อซอง คือ 2 สรุปได้ว่า ขนมถุงนี้ ควรที่จะแบ่งบริโภค 2 ครั้ง แต่ถ้าบริโภคหมดในครั้งเดียว ก็จะได้รับโซเดียม 170 x 2 = 340 มิลลิกรัม นั่นเอง
นอกจากนี้ ยังมีฉลากโภชนาการอีกแบบที่เรียกว่า ‘ฉลาก หวาน มัน เค็ม’ อยู่หน้าซองขนมโดยจะบอกปริมาณพลังงาน น้ำตาล ไขมัน และโซเดียม ซึ่งคิดเป็นปริมาณต่อถุงอยู่แล้ว จึงสามารถสังเกตได้และง่ายในการเลือกซื้อ แต่ทางที่ดีที่สุดควรหลีกเลี่ยงขนมขบเคี้ยวหรือเลือกขนมที่มีโซเดียมน้อย ๆ จะดีกว่า
ยังมีวิธีลดโซเดียมแบบง่าย ๆ ที่รับรองว่าหากพิถีพิถันในการเลือกบริโภค จะทำให้ห่างไกลเค็มและห่างไกลโรค ได้ไม่ยาก
1.หากปรุงอาหารเอง ควรลดปริมาณเครื่องปรุงในอาหาร เช่น น้ำปลา ซอสปรุงรส ซีอิ๊ว น้ำมันหอย ผงชูรส และควรตวงก่อนปรุงทุกครั้ง
2.หากกินข้าวนอกบ้าน หลีกเลี่ยงการปรุงรสเพิ่ม จากเครื่องปรุงต่าง ๆ และไม่ควรซดน้ำแกงหรือน้ำซุปจนหมด เพราะโซเดียมจากเครื่องปรุงต่างๆ จะละลายอยู่ในน้ำแกงและน้ำซุป หากเป็นไปได้ควรประกอบอาหารกินเองแทนการกินข้าวนอกบ้าน
3.หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสจัด อาหารหมักดอง-แช่อิ่ม อาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว หรือเลือกกินอาหารธรรมชาติ แต่ถ้าจำเป็นต้องกิน ควรอ่านฉลากโภชนาการทุกครั้ง และเลือกอาหารที่มีโซเดียมน้อยที่สุด
4.ควรลดการกินขนมหวานที่มีโซเดียม เช่น กล้วยบวชชี ขนมอบทุกชนิดที่ใส่ผงฟู เช่น ขนมปัง เค้ก คุ้กกี้ โดนัท เป็นต้น
ประโยชน์ของฉลากโภชนาการ ไม่ได้ระบุเฉพาะข้อมูลของโซเดียมเท่านั้น แต่ยังระบุข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการเลือกบริโภคอีกด้วย รู้อย่างนี้แล้ว ก่อนจะหยิบซื้อ อาหาร ขนมขบเคี้ยว ลงตะกร้า ลองหมั่นตรวจเช็คข้อมูลโภชนาการจากฉลากโภชนาการให้เป็นนิสัย เพื่อควบคุมปริมาณโซเดียมให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเองและคนในครอบครัว