ดันกฎหมายห้ามขายเหล้าปีใหม่-สงกรานต์

          สธ.ดันกฎหมายห้ามขายเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ 31 ธ.ค.-1 ม.ค.และ 13-15 เม.ย. ของทุกปี พร้อมห้ามขาย-ห้ามบริโภคในท่าเรือโดยสารสาธารณะ-บนทางรถไฟสถานีขนส่ง เตรียมชงปลัดสธ.ก่อนเสนอต่อรัฐมนตรีนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมฯ 19 ธ.ค.นี้


/data/content/26682/cms/e_aelnrsuwyz36.jpg


          ในการประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 8 เมื่อวานนี้(2 ธ.ค.) นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า การพัฒนากฎหมายในช่วง 6-7 ปี ที่ผ่านมา หลังจากมีการออก พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้มีการออกอนุบัญญัติ อีก 33 ฉบับ ยังมีสิ่งที่ต้องผลักดันต่อในส่วนของอนุบัญญัติ คือ การห้ามขายบนทางสาธารณะ การห้ามขาย ห้ามดื่มบนรถไฟ เรื่องฉลาก ห้ามใช้ดารา นักแสดง นักร้อง เป็นภาพโฆษณาบนฉลาก และการใช้ภาพคำเตือน บนฉลาก เรื่องวันที่ห้ามจำหน่าย โดยล่าสุดได้ออกประกาศเพิ่มเติม เรื่องขนาดคำเตือนประกอบโฆษณา โดยขยายขนาดคำเตือนจาก 1 ใน 4 เป็น 1 ใน 3 รวมทั้งทำให้คำเตือนสั้นกระชับ เข้าใจง่ายอีกด้วย


          ทั้งนี้ในช่วงปีใหม่ จะเสนออนุบัญญัติใหม่ 5 ฉบับ คือ 1.ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดสถานที่ห้ามขาย ห้ามบริโภคในท่าเรือโดยสารสาธารณะ  2.ห้ามขายหรือบริโภคในสถานที่ที่อยู่ในกำกับดูแลของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ 3.กำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามขายห้ามดื่มบนทางรถไฟ 4.กำหนดวันห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในวันที่ 31 ธ.ค. และ 1 ธ.ค. และวันที่ 13-15 เม.ย.ของทุกปี


          และ 5.กำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามขาย หรือบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานีขนส่ง โดยขณะนี้ได้ส่งเรื่องให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เสนอต่อรัฐมนตรี เพื่อนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมฯ วันที่  19 ธ.ค.นี้ และจะเร่งประชุมคณะกรรมการนโยบายฯ ต่อเนื่องทันที ให้สามารถประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้ทันที


          "การออกประกาศเพิ่มวันห้ามจำหน่ายสุรา มีสถิติข้อมูลเพียงพอ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นผลให้เกิดความสูญเสียจำนวนมาก" นพ.สมาน ระบุ


          ด้าน พญ.พันธุ์นภา กิตติรัตนไพบูลย์ ผู้จัดการแผนการพัฒนาระบบการดูแลผู้มีปัญหาการดื่มสุรา (ผรส.) กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การดื่มสุรายังมีความสัมพันธ์กับการติดสารเสพติดอื่น และยังสร้างความสูญเสียจากความรุนแรงอุบัติเหตุได้มากกว่าผลกระทบทางสุขภาพ ซึ่งพบว่าปัญหาจากการดื่มสุราส่งผลต่อสุขภาพหลายด้าน ทำให้การวางระบบเพื่อแก้ปัญหาต้องทำในหลายๆ ด้านพร้อมกัน


          อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีการวางระบบคัดกรองปัญหาสุรา ควบคู่กับการให้การรักษาโรคอื่นๆ ซึ่งมักพบว่าการเจ็บป่วยจะมีสาเหตุจากการดื่มร่วม จึงต้องมีการสอบถามปัญหาการดื่มสุราควบคู่ด้วย ซึ่งการเพิ่มการคัดกรองเรื่องปัญหาการดื่มสุราจะช่วยลดผลกระทบทางสุขภาพได้เพิ่มขึ้น แต่การดูแลจำเป็นต้องทำหลายด้าน คือ ใช้มาตรการคัดกรอง บำบัดระยะสั้น มาตรการถอนพิษ ที่สถานพยาบาลต้องมีการป้องกันเพราะพบว่าผู้ป่วยถอนพิษสุราในระยะนี้มักมีอาการข้างเคียงรุนแรง โดยเฉพาะปัญหาการคลุ้มคลั่ง และมาตรการบำบัดฟื้นฟูสภาพ รวมทั้งการดูแลระยะยาว ซึ่งพบว่าการสร้างความร่วมมือให้ชุมชนช่วยดูแลกัน ช่วยให้ลดการดื่มได้ถาวรถึง 80%


  /data/content/26682/cms/e_beijknuwz689.jpg        นพ.บัณฑิต ศรไพศาล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ก้าวต่อไปของมาตรการควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จำเป็นต้องดำเนินมาตรการหลายๆ ด้านไปพร้อมๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ดำเนินการอยู่ในกรอบของกฎหมาย โดยความสำเร็จจะต้องมีกลยุทธ์ 5 ประการเพื่อผลักดันนโยบาย คือ


          1.การสะสมปัจจัยพื้นฐาน โดยนำความรู้ที่มีการวิเคราะห์ วิจัย มาสังเคราะห์เป็นพื้นฐานในการออกนโยบาย และนำนโยบายไปปฏิบัติ 2. การทำงานร่วมระหว่างภาคีตามยุทธศาสตร์สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา 3.การสื่อสารสาธารณะ เพื่อนำข้อมูลความรู้ออกเผยแพร่ให้ถึงประชาชนในวงกว้าง โดยอาศัยการทำงานร่วมกับสื่อมวลชน 4.การแสวงหาและใช้หน้าต่างแห่งโอกาสอย่างเหมาะสม คือ การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด


          และ 5.การต่อสู้กับกุศโลบาลในขั้นตอนทางกฎหมาย โดยจำเป็นต้องใช้เครื่องมือต่างๆ ในการควบคุม เช่น การควบคุมอัตราภาษี เพื่อจำกัดการบริโภค การควบคุมการเข้าถึงด้วยการเปลี่ยนวิธีการออกใบอนุญาต การขึ้นธรรมเนียมใบอนุญาตเพื่อจำกัดจำนวนของร้านค้า ซึ่งจะช่วยลดการเข้าถึงไม่ให้มากเกินไป รวมทั้งต้องเร่งสร้างมาตรการอื่นๆ ที่สำคัญทางสังคม เช่น การป้องปรามการเมาแล้วขับ เป็นต้น


 


 


          ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ


         ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

Shares:
QR Code :
QR Code