จิตแพทย์ชี้เด็กชาย เครียดมากกว่า เด็กหญิง
เผยส่วนใหญ่เกิดมาจากปัญหาครอบครัว
ว่ากันถึงตัวเลขสถิติของเด็กเครียด จิตแพทย์ให้ไว้ว่า สถิติเด็กเครียดในปัจจุบันมีมากถึง 30% โดยมี 10% อยู่ในระดับที่รุนแรง
ซึ่งสาเหตุแห่งความเครียดของเด็กนั้น เนื่องมาจากการถูกดุด่า ตำหนิ รวมทั้งเห็นพ่อแม่เครียดเลยซึมซับเอามาด้วย อีกทั้งครูสั่งการบ้านเยอะและยาก ก็มีส่วนทำให้เด็กเสี่ยงเป็นโรคเครียด
นพ.จอม ชุมช่วย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ในบรรดาเด็กที่เกิดความเครียดนั้นพบว่า “เด็กชาย” จะมีอัตราความเครียดที่เกิดจากความวิตกกังวลมากกว่า “เด็กหญิง” ในกรณีที่เป็นเด็กเล็กๆ ก่อนวัยรุ่น
แต่ถ้าหากเป็นเด็กที่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นจะพบว่า “เด็กหญิง” จะเกิดความเครียดซึ่งมาจากโรคซึมเศร้าได้มากกว่า เพราะเป็นเรื่องของฮอร์โมนทางเพศ ยิ่งช่วงที่มีประจำเดือน ผู้หญิงก็มักจะอารมณ์หงุดหงิด เครียดง่ายกว่าผู้ชาย หรืออาจจะคิดวิตกเกี่ยวกับเรื่องของสรีระกลัวว่าจะไม่สูง ไม่สวย อ้วน มีสิว เป็นต้น
“จากการวิจัยพบว่าร้อยละ 5-10 ของกลุ่มโรควิตกกังวล และซึมเศร้าที่เกิดจากความเครียด ที่พบในเด็ก ส่วนมากจะพบว่าเป็นความเครียดที่เข้าสู่ระดับกลางถึงรุนแรง แต่ถ้าเป็นความเครียดธรรมดาทั่วๆ ไปนั้นมีมากถึงร้อยละ 20-30 เลยทีเดียว” คุณหมอจอมกล่าวเพิ่มเติม
ส่วนอาการเครียดของเด็กนั้น สามารถแบ่งออกได้ 3 ระดับอาการ ระดับแรกเด็กอาจจะเครียด วิตกกังวล ไม่มีสมาธิ แต่ไม่กระทบกับผลการเรียน และไม่กระทบกับความสัมพันธ์ของคนรอบข้าง อาจจะเป็นเพียงแค่ความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น
ส่วนระดับที่สองจะเริ่มรุนแรงขึ้นมา โดยส่งผลกระทบต่อการเรียน การทำงาน และความสัมพันธ์ของคนรอบข้าง และระดับที่สามถือว่าเป็นระดับที่รุนแรงและมีผลกระทบอย่างมาก ทำให้เด็กไม่มีสมาธิ ผลการเรียนตก ซึมเศร้า เหม่อลอย อยากตาย ร่างกายไม่มีพละกำลัง เนื่องจากทำให้ระบบประสาททำงานผิดปกติ และฟังก์ชั่นของเด็กผิดปกติไปด้วย เช่น สมองไม่มีความสมดุล เมื่อเจอความเครียดระบบสมองจะทำงานลดน้อยถอยลงไป การทำงานของเซลล์ติดขัด ทำให้การทำงานของสมองเปลี่ยนแปลงไป
สำหรับสาเหตุที่เด็กเครียด ส่วนใหญ่เกิดมาจากปัญหาครอบครัว เห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน หรือถูกพ่อแม่ดุด่า ตำหนิบ่อยๆ หรือไม่ก็เกิดจากการที่เด็กกดดันตัวเอง เห็นเพื่อนเก่ง เลยคิดว่าตัวเองไม่เก่งไม่มีความสามารถเลยเครียดได้ ส่วนปัจจัยที่โรงเรียนก็มีส่วนทำให้เด็กเครียด เช่น ถูกเพื่อนแกล้ง ล้อเลียน ไม่คบด้วย หรือเกิดปัญหาในเรื่องของความสัมพันธ์กับเพื่อนในห้องเรียน
เมื่อเกิดความเครียดซ้ำร้ายบางรายอาจจะมีอาการทางกายร่วมด้วย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง นอนไม่หลับ คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นานๆ ควรจะพาเด็กมาพบจิตแพทย์โดยด่วน
วิธีการป้องกันไม่ให้เด็กเครียด คุณหมอจอมแนะนำหลักๆ ว่าประการแรก พ่อแม่ควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมต่างๆ ของลูกอยู่เสมอ เพราะเบื้องต้นแล้วพ่อแม่สามารถช่วยเหลือลูกได้ โดยเข้าไปพูดคุย รับฟังความคิดเห็นจากลูก เช่น เห็นลูกเงียบๆ ก็ควรจะถามว่าเห็นลูกเหนื่อยๆ มีอะไรหรือเปล่า พยายามแสดงความเป็นห่วงและเข้าใจลูก
ประการต่อมา ไม่ควรกดดันลูกในเรื่องของการเรียน อย่าคาดหวังมากจนเกินไป เพราะจะทำให้เด็กเครียดได้ สมมุติว่าเด็กบางคนเรียนไม่ค่อยเก่ง แล้วพ่อแม่คาดหวังสูง ก็อาจจะทำให้เด็กเกิดความกดดันและเครียดได้ แต่ถ้าหากว่าเด็กเป็นคนที่อ่อนไหวต่อความรู้สึก ถึงแม้พ่อแม่ไม่ได้กดดัน หรือคาดหวังอะไร แต่เด็กก็อาจจะเครียดเอง เพราะสร้างความกดดันให้กับตัวเอง เพราะฉะนั้นในสถานการณ์เดียวกัน เด็กบางคนอาจจะเครียด และไม่เครียดก็ได้ ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยของเด็กเอง
นอกจากนั้น ไม่ควรดุ ตำหนิ หรือใช้วิธีการตีกับเด็ก เพราะจะทำให้เด็กรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง และอาจจะเข้าใจได้ว่าพ่อแม่ไม่รัก อีกทั้งยังทำให้เด็กเกิดการต่อต้าน จนบางครั้งเกิดการเลียนแบบนำเอาวิธีที่พ่อแม่ปฏิบัติต่อตนเองนั้นไปใช้กับเพื่อนที่โรงเรียน ทางที่ดีพ่อแม่ควรมีสติ และเหตุผลให้มากที่สุด ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ
และที่สำคัญ ควรเข้าใจลูกให้มาก ควรมีเวลาอยู่กับลูกบ่อยๆ เช่น ทำกิจกรรม เล่นกับลูก ทำให้ความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายแนบแน่น ถ้าหากลูกอยู่ในวัยประถมศึกษาก็อาจจะเล่นสนุกกับลูก ชมเชย และมีเวลาให้ลูกสม่ำเสมอ
ส่วนลูกโตเป็นวัยรุ่นก็อาจจะเป็นเพื่อนคุยที่ปรึกษา ก็จะทำให้ลูกเล่าหรือระบายความในใจออกมาได้ เด็กก็จะไม่เครียด
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน
update : 04-08-51