ง่วง! ไม่ขับ หลับในถึงตาย
เทศกาลวันหยุดยาวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ นอกจากเมาไม่ขับแล้ว ยังต้องรณรงค์เรื่องง่วงไม่ขับเสริมเข้าไปด้วย
“ช่วงเทศกาล…ปีใหม่ทุกปี ปัจจัยต้นๆ ที่ทำให้คนไทยเสียชีวิต ผมเชื่อว่ามาจากหลับใน…” นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ ประธานทุนง่วงอย่าขับ ในพระอุปถัมภ์สมเด็จ พระเจ้าพี่นางเธอฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มูลนิธิรามาธิบดี บอกว่า การหลับในเกี่ยวเนื่องกับปัจจัยหลายๆอย่าง หนึ่ง…คนจะเดินทางไกล การเดินทางก็ต้องใช้เวลานานกว่าปกติเพราะรถเยอะ
“การขับรถในช่วงเวลาอย่างนี้จึงเป็นกิจกรรมที่น่าเบื่อมากๆ แล้วก่อนหน้าที่จะเดินทางไม่น้อยก็อดนอนสะสม เพราะต้องทำงานล่วงหน้า สะสางให้เสร็จอาจจะต้องอดนอน นอนดึกติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน…เป็นปัจจัยที่สอง”
ปัจจัยต่อมา…ช่วงเทศกาลอาจจะมีการดื่ม เป็นเรื่องธรรมดาก็จริง แต่สำหรับคุณหมอมนูญ แอลกอฮอล์เป็นยานอนหลับที่ไม่ดี กินแล้วจะหลับๆ ตื่นๆ…หลับๆ ตื่นๆ ตื่นขึ้นมาก็ง่วง แล้วถ้าต้องมาเดินทางไกล ขับรถก็ยิ่งเป็นอันตราย และ ปัจจัยที่สี่…จะมีสักกี่คนที่จะจัดอันดับความง่วงเป็น
“ข้อนี้ถือว่าสำคัญมาก ที่ผ่านมาภาครัฐรณรงค์แต่เรื่องวินัยจราจร งดสุรา แต่ไม่ให้ความรู้ว่าเมื่อเกิดความง่วง ระดับไหนจะให้ผู้ขับขี่แก้ง่วงหรือทำอย่างไรได้บ้าง เพราะการหลับในป้องกันได้”
คุณหมอมนูญ บอกว่า การแก้ง่วงช่วงขับรถเป็นเรื่องง่ายมาก ถ้ามีความรู้ เริ่มง่วงเมื่อไหร่ คุณต้องถามตัวเองก่อนว่าง่วงหรือยังเป็นระยะๆ เวลาขับรถง่วงน้อยก็หาของขบเคี้ยว ร้องเพลง หรือคุยกับเพื่อนร่วมทาง ไม่ใช่ว่าเปิดเพลงฟัง เปิดกระจกรับลม และถ้าง่วงน้อยๆ ก็หาเครื่องดื่มชูกำลัง หรือกาแฟดื่มได้
แต่ว่าถ้าง่วงมาก ไม่ไหวแล้ว อาการจะมาเป็นชุด ง่วง…หาวนอนไม่หยุด ลืมตาไม่ขึ้น บังคับรถให้อยู่ในเลนลำบาก จิตใจล่องลอยไม่มีสมาธิ จำไม่ได้ว่าขับผ่านอะไรมา เหล่านี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า คุณอยู่ในภาวะง่วงมาก อาการหลับในกำลังจะเกิดขึ้น ต้องรีบจอดรถทันที…แล้วก็งีบหลับสัก 10 นาที
“ห้ามหลับนานกว่านี้ ถ้าหลับนานเกินไปครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง ตื่นขึ้นมาจะงัวเงีย แล้วก็จะง่วงต่ออีก แต่ถ้าให้ดีกว่านั้นก่อนจะหลับให้ดื่มกาแฟ หรือเครื่องดื่มชูกำลังก่อน…
หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไม ดื่มแล้วไม่หลับเหรอ ก็เพราะว่ากว่าเครื่องดื่มจะออกฤทธิ์ก็ใช้เวลาราวๆ สิบนาที เท่ากับว่า…กาแฟกับเครื่องดื่มชูกำลังเป็นตัวปลุกให้ตื่น ขับรถต่อไปได้สบายอีกหลายชั่วโมง”
ความรู้เกี่ยวกับการแก้ง่วงลองเอาไปใช้กันดู ถ้าใช้ได้ผลก็หมายความว่า การหลับในขณะขับรถจะไม่เกิด นั่นก็หมายถึงอุบัติเหตุก็จะไม่เกิดขึ้นด้วย
ไหนๆ ก็พูดกันถึงเรื่องการนอน คุณหมอมนูญยังมีโครงการเกี่ยวกับการนอนที่กำลังจะเปิดตัวในช่วงต้นปีหน้านี้ “โครงการเด็กไทยรักษ์สมอง” …รักษ์สมอง ต้องสองมิตร หนึ่งเมิน
มิตรที่หนึ่ง หมายถึงมิตรกับหมวกกันสมอง (หมวกกันน็อก) มิตรที่สอง หมายถึงมิตรกับหมอน นอนหัวค่ำ ตื่นแต่เช้า กินอาหารเช้าทุกวัน ส่วนเมินก็คือ เมินยาเสพติดทุกชนิดมีพิษทำลายสมองส่วนหน้าสุด
“โครงการเด็กไทยรักษ์สมอง มีเหตุผลสำคัญมาจากคุณภาพเด็กไทยที่ตกต่ำถดถอยไปเยอะหลายอย่าง นับตั้งแต่ยาเสพติด ตัวเลขเยาวชนกับยาเสพติดวันนี้น่าจะอยู่ที่เกือบสองล้านชีวิต เริ่มใช้ยาตั้งแต่ประถมสอง”
ความกังวลประการที่สอง เด็กไทยเวลาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ใส่หมวกกันน็อกน้อยมาก ถ้าตกลงมาศีรษะกระแทกกับพื้นถนน สมองมีโอกาสได้รับการกระทบกระเทือนสูง โอกาสที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดูแลตัวเองได้ ทำมาหาเลี้ยงชีพได้เกือบจะไม่มีเลย ถ้ามีอุบัติเหตุที่สมองส่วนหลัก
ความกังวลที่สาม เรื่องการนอนหลับ เด็กไทยนอนหลับไม่เพียงพอมากถึงร้อยละ 40 ไล่เรียงไปตั้งแต่เด็กประถมเป็นต้นไป ข้อมูลที่เคยสำรวจวัยรุ่นไทยเกือบจะติดอันดับสุดท้ายในเรื่องชั่วโมงการนอนหลับจากทั่วโลก คุณหมอมนูญ บอกอีกว่า การนอนหลับไม่พอมีผลเสียต่อสมอง การพัฒนาของสมอง การเรียนรู้ ความจำ ไม่เฉพาะวิชาเรียนที่ต้องใช้ความจำ หากแต่เกี่ยวโยงไปถึงวิชาที่เกี่ยวกับภาษา กีฬา ศิลปะ ดนตรี
ในญี่ปุ่น รณรงค์ให้เด็กของเขานอนแต่หัวค่ำ ตื่นแต่เช้า ทานอาหารเช้า เรียกชื่อโครงการว่าฮายาโอคิ (hayaoki)…อเมริกาก็เช่นกัน รณรงค์ตั้งเป้าในอีก 10 ปีข้างหน้า เด็กของเขาก็ต้องมีชั่วโมงการนอนเพิ่มขึ้น ส่วนประเทศไทยน่าจะยังไม่มีหน่วยงานไหนสนใจเรื่องชั่วโมงการนอน สนใจแต่เรื่องอาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์
จี้ใจไปที่ประเด็น เมินยาเสพติด ยาเสพติดทุกชนิดทำลายสมอง โดยเฉพาะยาบ้า ยาไอซ์ เด็กจะเสพติดมากเป็นอันดับสองอันดับสาม
ทั้งสองอย่างทำลายสมองส่วนหน้าสุด ที่ทำหน้าที่คิดเริ่ม คิดสร้างสรรค์ คิดวางแผนว่าในอนาคตจะทำอย่างไร และคิดโดยใช้เหตุใช้ผล แล้วเมื่อผิดก็จะจดจำ ไม่ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก
ปัญหามีว่า เมื่อเสพยาบ้าติดต่อกันเป็นเวลาสามปี สมองส่วนหน้าจะถูกทำลาย จะเห็นว่าคนที่ติดยาบ้าวันๆไม่คิดจะทำอะไรเลย คิดแต่ว่าวันๆนึงจะหายามาเสพยังไง การคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คุยด้วยเหตุผลเขาก็จะไม่เข้าใจ เขาทำอะไรซ้ำแล้วก็ซ้ำอีก ถูกจับเข้าคุก ออกจากคุกมาแล้วก็เสพยาอีก ถูกจับอีกก็ไม่จดจำ นั่นเป็นเพราะว่าสมองส่วนหน้าสุดถูกทำลาย แล้วก็เป็นการถูกทำลายอย่างถาวรอีกด้วย
“การบำบัดฟื้นฟูก็ไม่ได้ช่วยให้สมองส่วนนี้คืนมา ก็หมายถึงว่าถ้าเราไม่มีสมองส่วนหน้าเราก็จะถอยหลังวิวัฒนาการไปเป็นหมื่นๆ ปีเหมือนกับสัตว์ ลิง เป็นต้น เราต้องบอกกับเด็กว่า ถ้าอยากมีสมองเป็นมนุษย์ ก็อย่าไปยุ่งกับยาเสพติด เพราะถ้าเสพไปอีกหน่อยสมองก็จะมีเท่าสมองลิง เด็กสามารถแยกแยะได้ คนกับลิงต่างกัน”
ทั้งหมดเหล่านี้จะทำร่วมกันในลักษณะให้ความรู้ในรูปแบบวีดิโอคลิปแจกจ่ายให้กับโรงเรียน แจกหมวกกันน็อก ติดสติ๊กเกอร์สามมิติรูปภาพสมอง เวลาเด็กใส่ก็จะโดดเด่นเป็นจุดสนใจ เพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของสมอง เราอาจจะไม่สามารถแจกให้เด็กทุกคนได้ แต่ก็จะกระจายไปยังโรงเรียนต่างๆ ให้ครูใช้เป็นสื่อการสอน
นอกจากนี้ก็จะมีการแจกปลอกหมอน ที่เขียนข้อความว่า “นอนหัวค่ำ ตื่นแต่เช้า กินอาหารเช้า” ความสำคัญของการนอนในแต่ละช่วงวัยจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ถ้าจะถามว่า เด็กๆ ต้องนอนกันวันละกี่ชั่วโมง ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่หลายคนอาจจะไม่รู้ คุณหมอมนูญบอกว่า เด็กเกิดใหม่ต้องนอน 16 ชั่วโมง เด็กอายุ 6–8 ปี เด็กประถมหนึ่งควรนอน 11 ชั่วโมง ประถมสาม ช่วงอายุ 9–11 ปี ควรนอน 10 ชั่วโมง ช่วงอายุ 12–14 ปี ควรนอน 9.25 ชั่วโมง ช่วงอายุ 15–17 ปี ควรนอน 8.5 ชั่วโมง และผู้ใหญ่ควร นอน 7–8 ชั่วโมง ลดหลั่นไปเรื่อยๆ
“เด็กนอนน้อยเกินไปก็ไม่พอต่อการเจริญเติบโต ผู้ใหญ่ต้องปลูกฝังให้เด็กนอนให้เพียงพอ การนอนจะช่วยให้ร่างกายสูบฉีดโกรทฮอร์โมนจะหลั่งช่วงเวลานอนหลับกลางคืนเท่านั้น ฮอร์โมนนี้จะช่วยให้ร่างกายเด็กเจริญเติบโต นอนน้อยก็หลั่งน้อย ตัวก็เตี้ย”
ชาวดัตช์ตัวสูงใหญ่ เขาเข้านอนก่อนสามทุ่ม ตื่นเช้า นอน 11 ชั่วโมง ตั้งแต่เด็กๆ โตขึ้นมาหน่อยก็ลดหลั่นลงไป สิบชั่วโมงครึ่ง เก้าชั่วโมงครึ่ง ของเราไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าไม่เริ่มแค่เรื่องเล็กๆ อย่างการนอน อนาคตเด็กไทยจะยิ่งแย่ในเรื่องคุณภาพ เด็กแว้นเวลานอนก็ไม่นอน หมวกกันน็อกก็ไม่ใส่ บางคนก็เสพยา แล้วประเทศไทยจะเป็นอย่างไร จะไปแข่งกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไร
การนอนเป็นเรื่องสบาย แต่ที่ไม่สบายคือการนอนที่ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะเด็ก…ที่จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนไทยจะต้องสนใจกับการนอน
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ