คุ้มครองผู้บริโภค คุ้มครองสุขภาพคนไทย
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้อธิบายเรื่องราวความเป็นมาถึง “วันคุ้มครองผู้บริโภค” ของไทย ซึ่งตรงกับวันที่ 30 เมษายนของทุกปีไว้ว่า ปี พ.ศ.2522 สมัยที่พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เล็งเห็นความสำคัญและความจำเป็นของการคุ้มครองผู้บริโภค จึงได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคขึ้น โดยมี นายสมภพ โหตระกิตย์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ ศึกษาหามาตรการถาวรในการคุ้มครองผู้บริโภค พร้อมยกร่างกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค จนมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ ทรงลงพระปรมาภิไธยในวันที่ 30 เมษายน 2522 และประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2522 เป็นต้นมา นับตั้งแต่นั้นมา ประเทศไทยก็ได้ถือเอาวันที่ 30 เมษายน เป็นวันคุ้มครองผู้บริโภคไทย
ถือเป็นจุดกำเนิดของวันคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งครอบคลุมในทุกมิติของสิทธิประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะด้านสุขภาพ ซึ่งถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนต้องเผชิญ โดย รศ.ภก.ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากข้อมูลของสำนักแผนงานและงบประมาณ สำนักงานศาลยุติธรรม พบว่าคดีผู้บริโภคที่เข้าสู่การพิจารณาในศาลชั้นต้นทั่วราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2553 มีทั้งหมด 397,261 คดี ข้อหาที่มีจำนวนมากที่สุด 4 อันดับแรก เป็นคดีที่เกี่ยวข้องด้านการเงิน ได้แก่ คดีสินเชื่อบุคคล/กู้ยืม/ค้ำประกัน จำนวน 148,414 คดี คดีบัตรเครดิตจำนวน 71,206 คดี คดีกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา 56,106 คดี และคดีเช่าซื้อรถยนต์จำนวน 31,557 คดี ในส่วนคดีผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สุขภาพและบริการด้านสุขภาพ ในรอบปี พ.ศ. 2553(มกราคม – ธันวาคม 2553)มีดังนี้ 1. สินค้าไม่ปลอดภัย (ยา) จำนวน 5 คดี 2. สินค้าไม่ปลอดภัย (อาหาร) จำนวน 7 คดี 3. สินค้าไม่ปลอดภัย (เครื่องสำอาง) จำนวน 38 คดี 4. สินค้าไม่ปลอดภัย (สินค้าบริโภค อื่นๆ) จำนวน 8 คดี 5) บริการของสถานพยาบาลรัฐ จำนวน 15 คดี 6. บริการของสถานพยาบาลเอกชน จำนวน 76 คดี 7. สถานบริการความงามและสุขภาพ จำนวน 18 คดี และ 8. ร้านขายยา จำนวน 1 คดี
โดยจะพบว่าคดีที่เกี่ยวกับการบริการของสถานพยาบาลเอกชนมากที่สุด เนื่องจากระบบบริหารการจัดงานของสถานบริการไม่ความเข้มงวดกวดขันเท่ากับสถานบริการของรัฐ ดังนั้นการแก้ไขต้องให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมแก้ปัญหา โดยเป็นเจ้าของปัญหา หรือเรื่องปัญหาสารอาหารปนเปื้อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากที่จะรู้ว่าสิ่งที่บริโภคเข้าไปนั้นพบสารปนเปื้อนหรือไม่ จึงต้องประสานภาควิชาการและภาครัฐ เช่น โครงการพัฒนากลไกเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านอาหารของผู้บริโภค หรือโครงการ“ปฏิวัติน้ำมันทอดซ้ำ”ที่มีอยู่ เป็นตัวเชื่อมโยงต่อผู้บริโภคให้มากขึ้น ขณะเดียวกันหากร่าง พ.ร.บ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. … ที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้ในปลายปีนี้แล้วเสร็จ จะเป็นส่วนช่วยทำให้เกิดการคุ้มครองผู้บริโภคมากขึ้น
“ผมเชื่อว่าหากกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ จะทำให้เกิดการผลักดันข้อปัญหา ข้อเสนอเชิงนโยบายต่างๆ และเป็นตัวช่วยผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิ เพราะกฎหมายฉบับนี้ประกอบด้วยผู้แทนผู้บริโภคที่มาจากภาคส่วนต่างๆ ของประเทศ จำนวน 8 คน ขณะเดียวกันเมื่อภาครัฐออกกฎหมายก็ต้องขอความเห็นจากองค์การอิสระผู้บริโภคร่วมด้วย”
อย่างไรก็ตามการคุ้มครองผู้บริโภคไม่เพียงแต่มีในบ้านเราเท่านั้น นานาชาติก็มีการจัดความคุ้มครองผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิในด้านต่างๆ ไว้เช่นกัน โดย รศ.ดร.วิทยา กล่าวแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ 2.กลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น ไทย เวียดนาม มาเลเซีย แอฟริกา และ 3.กลุ่มประเทศที่ยังไม่ค่อยเข้าถึงการบริการ เช่น บังกลาเทศ เนปาล เป็นต้น โดยอาจารย์วิทยาเล่าว่าการเข้าถึงสิทธิต่างๆ ของประชาชนในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ถือว่าทำได้ดี อย่างอังกฤษ รัฐบาลใช้วิธีการสร้างบริการขายสมาชิก แต่ที่น่าห่วงคือระดับล่าง อย่างประเทศกลุ่มที่การบริการยังไม่เข้าถึง ส่วนไทยนั้นถือเป็นประเทศที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านก้าวสู่สากล เพราะไทยมีองค์การอิสระคุ้มครองผู้บริโภคที่คอยเป็นเหมือนแกนกลางประสานความช่วยเหลือ
ถือว่าบ้านเราไม่น้อยหน้าว่าใครในอาเซียน!!
สุดท้าย รศ.ดร.วิทยา กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า นับตั้งแต่ปี 2522 ถึงปัจจุบัน ประมาณ 30 กว่าปีมานี้ ประเทศไทยมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นหลายเรื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีกฎหมายองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค น่าจะเป็นแกนหลักที่หมุนให้ระบบคุ้มครองในประเทศไทยเดินหน้าไปได้พอสมควร และจะส่งผลให้ประชาชนมีสิทธิมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการขับเคลื่อนการยกเลิกใช้แร่ใยหินในบ้านเรา ที่มีการขับเคลื่อนมาเป็นเวลา 1 ปื ถือว่าสามารถทำได้ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี
เรื่องโดย: สุนันทา สุขสุมิตร Team content www.thaihealth.or.th
ภาพประกอบจาก consumerthai.org