คาดแนวโน้ม ‘เด็กไทย’ เกิดต่ำปีละ 7 แสนราย
สวนกระแสวัยโจ๋ดิ่งเหวมีเซ็กส์เร็วขึ้น!!
คณะกรรมการอนามัยเจริญพันธุ์แห่งชาติ ระบุแนวโน้มเด็กเกิดใหม่ลดลงอย่างน่าใจหาย พบอัตราเกิดต่ำกว่า 7 แสนรายต่อปี หากภาครัฐไม่มีมาตรการใดๆคาดว่าอีก 20 ปีข้างหน้าสังคมไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุ ขณะเดียวกันกลุ่มวัยโจ๋สวนกระแสมีเพศสัมพันธ์เร็วๆ ขึ้น เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์แนวโน้มเกิดน้อย
เมื่อเร็วๆ นี้ นายแพททย์ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากการตั้งคณะกรรมการพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ เพื่อร่วมกันพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กไทย พบว่า ปัจจุบันโครงสร้างประชากรได้เปลี่ยนแปลง
โดยภาวะเจริญพันธุ์รวมของประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 3.6 ในปี 2523 เป็นร้อยละ 2.28 ร้อยละ 1.82 และ ร้อยละ 1.61 ในปี 2533, 2543 และ 2548 ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าระดับทดแทน คือ ผู้หญิงหนึ่งคนมีบุตรเฉลี่ยน้อยกว่า 2 คน ส่งผลให้โครงสร้างประชากรไทยมีสัดส่วนของประชากรวัยเด็กลดลง สัดส่วนประชากรวัยแรงงานที่ควรจะเพิ่มขึ้นกลับมีอัตราลดลง และสัดส่วนของประชากรวัยสูงอายุเพิ่มขึ้น
หากปล่อยให้การเกิดเป็นไปตามแนวโน้มเช่นนี้โดยไม่มีมาตรการใดเข้าไปแทรกแซง คาดว่าจำนวนเด็กเกิดในประเทศไทยจะลดลงเหลือเพียง 7 แสนรายต่อปี หรือต่ำลงไปกว่านั้น ในขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตแต่ละปีมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากการเป็นสังคมผู้สูงอายุที่มีมากขึ้น และอัตราเพิ่มประชากรของประเทศไทยมีแนวโน้มว่าจะติดลบในอีกไม่เกิน 20 ปีข้างหน้ามีเซ็กส์เร็วขึ้น
ในเรื่องดังกล่าว นายแพทย์ณรงค์ศักดิ์ ระบุว่า จากปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ส่งผลให้พ่อ แม่ มีบทบาทในการอบรมสั่งสอนลูกน้อยลง เด็กไม่สามารถเห็นตัวอย่างของแบบอย่างที่ดีของพ่อแม่ได้ และปัจจัยทางด้านต่างๆ ได้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาในหลายๆ ด้าน
รวมทั้งงานอนามัยการเจริญพันธุ์ซึ่งกำลังเป็นปัญหา เช่น การตั้งครรภ์และคลอดในกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชนต่ำกว่า 20 ปี ในปี 2547 จำนวน 152,562 คน จากจำนวนการคลอดทั้งหมด 822,572 คน คิดเป็นร้อยละ 18.5 และปี 2552 จำนวน 155,978 คน จากจำนวนทั้งหมด 811,384 คน คิดเป็นร้อยละ 19.2 การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นครรภ์ไม่ปรารถนา ซึ่งพบว่า ร้อยละ 46.8 ของผู้หญิงที่ทำแท้งมีอายุต่ำกว่า 25 ปี ในจำนวนนี้ ร้อยละ 30 เป็นแม่วัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี
“นอกจากนี้ การมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นและเยาวชนยังเสี่ยงต่อโรคเอดส์ ซึ่งจากข้อมูลสำนักระบาดวิทยาเกี่ยวกับสถานการณ์โรคเอดส์ของประเทศไทยพบผู้ป่วยสะสมทั้งหมด 345,196 ราย เสียชีวิต 93,064 ราย เป็นวัยรุ่นอายุ 10 – 24 ปี ร้อยละ 9.22 และจากรายงานสำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ปี 2550 พบอัตราป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มอายุ 10 – 24 ปี ร้อยละ 40.85 ต่อประชากร 100,000 คน ซึ่งปัญหาเหล่านี้เกิดจากการขาดความรู้ ความเข้าใจด้านเพศศึกษา และตระหนักถึงความสำคัญในการป้องกัน ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ ในกลุ่มชายหญิง” นายแพทย์ณรงค์ศักดิ์ กล่าวปัญหาระดับชาติ
นายแพทย์ณรงค์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า การแก้ไขปัญหาด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ที่ทวีความรุนแรงและมีขอบเขตกว้างขวางทั่วประเทศ จึงจำเป็นต้องมีแกนหลักในการขับเคลื่อน การบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้จัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติขึ้นเมื่อ 24 พฤศจิกายน 2551 เพื่อร่วมกันกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ มาตรการ และเงื่อนไขสำคัญของระบบสุขภาพที่จะช่วยส่งเสริม ป้องกันโรค และแก้ไขปัญหาอนามัยการเจริญพันธุ์และประชากรให้เป็นไปอย่างทั่วถึง มีคุณภาพและได้มาตรฐานเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหาที่เปลี่ยนแปลงไป
“ทั้งนี้ การดำเนินงานแก้ไขปัญหาและพัฒนางานอนามัยการเจริญพันธุ์ที่ผ่านมา กรมอนามัยได้ใช้มาตรการและแนวทางการดำเนินงานในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การจัดตั้งสภาเด็กและเยาวชน เพื่อพัฒนาศักยภาพแกนนำวัยรุ่นให้มีความรู้ ความเข้าใจและทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับอนามัยการเจริญพันธุ์ เนื่องจากธรรมชาติของวัยรุ่นเมื่อมีปัญหาบางเรื่องจะไม่กล้าคุยกับพ่อแม่หรือครู แต่จะหันไปปรึกษาพูดคุยกับเพื่อนแทน หากเพื่อนไม่มีความรู้หรือแนะนำไม่ถูกต้อง อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของวัยรุ่นได้ ซึ่งผลงานวิจัยจากหลายประเทศชี้ให้เห็นว่า การดำเนินงานดังกล่าวสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ได้
รวมทั้งการอบรมแพทย์ พยาบาล ที่ให้บริการแก่สตรีที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ด้วยการให้คำแนะนำปรึกษาเกี่ยวกับสิทธิการเข้าถึงบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ที่ปลอดภัย มีคุณภาพ การดูแลหญิงหลังแท้ง การรักษาภาวะแทรกซ้อนจากการแท้งที่ไม่ปลอดภัย และการป้องกันการแท้งซ้ำซาก อันเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นให้ดีขึ้น” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด
ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย
update 18-03-52