คนไทยป่วยโรคไตที่ 3 ในอาเซียน

ที่มา : เว็บไซต์ไทยโพสต์ 


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


คนไทยป่วยโรคไตที่ 3 ในอาเซียน thaihealth


คนไทยป่วยเป็นโรคไตสูงถึงอันดับ 3 ในอาเซียน เปิดกลุ่มยาเอ็นเสด ในยาแก้ประจำเดือน ยาแก้ปวด แพทย์เตือนคนไทยกินยาแบบผิดๆ ทำไตพัง พบยาชุด สมุนไพรเถื่อน-ยาจีนเกลื่อนท้องตลาด หลงเชื่อกินไตวายถึงตาย จี้ อย.เร่งจัดการด่วน


ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่  9 มีนาคม มีการแถลงข่าว “ยาที่เป็นอันตรายต่อไต” เนื่องในวันไตโลก ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 2 ของเดือนมีนาคมทุกปี โดยศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับนักวิชาการจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะทำงานสร้างเสริมความเข้มแข็งภาคประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (สยส.) และเครือข่ายผู้ป่วยโรคไต


ศ.นพ.ชัยรัตน์ ฉายากุล อายุรแพทย์โรคไต คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล และประธานอนุกรรมการโรงพยาบาลส่งเสริมการใช้ยาสมเหตุผล กล่าวว่า จากการรักษาโรคไตพบว่าคนไทยป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังสูงถึง 8 ล้านคน คิดเป็น 17% ของประชากรซึ่งสูงติดอันดับ 3 ในอาเซียน และมีแนวโน้มป่วยเพิ่มขึ้นทุกปี ส่วนใหญ่เกิดจากโรคเบาหวานหรือความดันเลือดสูง แต่ปัญหาคนไข้ไตที่เพิ่มสูงขึ้นเกิดจากการใช้ยาไม่สมเหตุสมผล เพราะเชื่อว่าการกินยามากๆ ทำให้ไตทำงานหนักหรือเบื่อหน่ายในการกินยา นอกจากนั้นยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ป่วยจากการใช้ยาโดยตรง โดยเฉพาะผู้ที่กินยาแก้ปวดแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือยากลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) เป็นเวลานาน ยาฆ่าเชื้อบางชนิด รวมทั้งหรือยาจีน-ยาไทยที่หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด


“การดูแลและป้องกันปัญหาโรคไต มี 4 หลักที่ควรทำเพื่อถนอมไตคือ ควรกินยารักษาอย่างต่อเนื่อง ควรสอบถามจนเข้าใจถึงยาที่กินอยู่ ควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งว่าเป็นโรคอะไร และควรมีรายชื่อยาที่ใช้อยู่เป็นประจำพกติดตัวไว้เมื่อมาพบแพทย์ ส่วนหลัก 4 ไม่ เพื่อป้องกันผลเสียของยาต่อไตคือ ไม่ควรหยุดยาเอง ไม่ควรซื้อยาแก้อักเสบ ยาฆ่าเชื้อ หรือยาบำรุงอาหารเสริมมากินเอง ไม่ควรหลงเชื่อคำโฆษณาในการกินยาที่ไม่รู้จัก และไม่ควรกินยาของผู้อื่น หากใช้ยาได้ถูกต้อง สมเหตุผล ปัญหาเรื่องไตก็จะลดลงมาก” ศ.นพ.ชัยรัตน์กล่าว


คนไทยป่วยโรคไตที่ 3 ในอาเซียน thaihealth


ผศ.นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล ประธานคณะทำงานสร้างเสริมความเข้มแข็งภาคประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล กล่าวว่า ยากลุ่มเอ็นเสดเป็นยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เพื่อลดอาการปวด บวม แดง ร้อน มีที่ใช้หลากหลาย เช่น ใช้บรรเทาปวดจากโรคเกาต์ ไมเกรน ข้อเข่าเสื่อม ปวดประจำเดือน และการปวดทางทันตกรรม เป็นต้น ยากลุ่มนี้หลายคนใช้ในชีวิตประจำวัน หากใช้ต้องใช้อย่างระมัดระวัง เพราะอาจทำให้ไตเสื่อมไตวาย หากใช้ต่อเนื่องนานๆ ต้องมีการตรวจติดตามการทำงานของไต และหลีกเลี่ยงการใช้กับผู้ที่เป็นโรคไตอยู่เดิม ซึ่งปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการกำหนดให้ภายใต้แผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) สาขาที่ 15 เรื่อง “การใช้ยาอย่างสมเหตุผล” ได้กำหนดตัวชี้วัดเกี่ยวกับเอ็นเสดไว้ 2 ตัวชี้วัด ที่โรงพยาบาลทั้งหลายควรปฏิบัติให้ผ่านเกณฑ์


ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) ซึ่งสนับสนุนโดย สสส. และคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า โรคไตของไทยเพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อภาระทางเศรษฐกิจทั้งต่อผู้ป่วย ครอบครัว และประเทศ โดยพบว่างบประมาณในการล้างไตสูงขึ้นทุกปี ในปีงบประมาณ พ.ศ.2561 สูงถึง 8,000 ล้านบาท ซึ่งผู้ป่วยโรคไตรายใหม่ที่มีสาเหตุมาจากการใช้ยาต่างๆ จำนวนไม่น้อย โดยการใช้ยาที่ส่งผลต่อโรคไต


คนไทยป่วยโรคไตที่ 3 ในอาเซียน thaihealth


นายธนพล ดอกแก้ว ประธานชมรมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย และประธานครือข่ายพลเมืองขับเคลื่อนสิทธิด้านสุขภาพ (Healthy Forum) เครือข่ายผู้ป่วยโรคเรื้อรัง กล่าวว่า ตนป่วยด้วยโรคไตวายเรื้อรังซึ่งปัจจุบันนี้ได้รับการปลูกถ่ายไตแล้ว สาเหตุของการป่วยเป็นไตวายเกิดจากการใช้ยาสมุนไพรและการซื้อยากินเอง โดยเชื่อการโฆษณาว่ายาสมุนไพรสามารถบำรุงล้างไต ซึ่งมีราคาแพงถึง 7,000-25,000 บาท แต่กลับป่วยเป็นไตวาย เพราะยาเหล่านี้ไม่ใช่การรักษาที่ถูกต้อง ทำให้ใช้ชีวิตที่ลำบากและทรมานมาก มีชีวิตรอดมาได้ด้วยการฟอกเลือด 3 ครั้งต่อ 1 สัปดาห์ ติดต่อกันถึง 10 ปี กว่าจะได้เปลี่ยนไต จึงไม่ควรเชื่อยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมทั้งยาสมุนไพรต่างๆ ที่เกินจริง ความจริงแล้วผู้ป่วยโรคไตวายทั่วไปต้องกินยาตามแพทย์สั่ง ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย มีวิธีการบำบัดทดแทนไต ดังนั้นผู้ป่วยโรคไตในระยะเริ่มต้น ถ้าหากซื้อยากินเองตามคำชวนเชื่อหรือคำโฆษณา อาจจะทำให้ไตวายเร็วขึ้นและเสียชีวิตได้

Shares:
QR Code :
QR Code