ขายกระเช้าของขวัญมีเหล้าติดคุก 1 ปี ปรับห้าแสน
โพลเผยส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าผิดกฎหมาย
สสส.จับมือองค์กรงดเหล้า รณรงค์สถานประกอบการปฎิบัติตามกฎหมาย ขายกระเช้าปลอดเหล้า เผยประชาชนไม่รู้ แถมยังเห็นมีขายเกลื่อน
นายแพทย์ทักษพล ธรรมรังสี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา เปิดเผยถึงความร่วมมือกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)และภาคีเครือข่ายองค์กรงดเหล้าในการรณรงค์ให้สถานประกอบการปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2553 ว่าคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ออกประกาศฉบับที่ 8/2552 ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2552 เรื่องการจัดจำหน่ายกระเช้าของขวัญปีใหม่ที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยระบุชัดเจนว่าการจัดจำหน่ายกระเช้าของขวัญสำเร็จรูปที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รวมอยู่ด้วย หรือการจัดกระเช้าของขวัญที่เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมดไม่สามารถกระทำได้เพราะเป็นความผิดตามมาตรา 30(5) มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจถือเป็นความผิดตามมาตรา 32 เพราะเป็นการกระทำที่มีลักษณะเป็นการโฆษณาหรือการสื่อสารการตลาดด้วย ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน ห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และต้องระวางโทษปรับวันละไม่เกินห้าหมื่นบาทตลอดระยะเวลาที่ยังฝ่าฝืน จนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ผอ.ศูนย์วิจัยปัญหาสุรากล่าวถึงเหตุผลที่ต้องออกมาเตือนผู้ประกอบการในเรื่องนี้ก็เพราะว่าจากการที่ได้ร่วมมือกับสสส., สวนดุสิตโพลและ รายการ “ก่อนตัดสินใจ” สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั้งประเทศพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 53.80 ไม่ทราบว่ามีกฎหมายห้ามจัดกระเช้าของขวัญที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ในกระเช้าแล้วนำมาตั้งขายผู้บริโภค และผลสำรวจยังพบต่อไปว่าประชาชนพบเห็นว่ายังมีห้างร้านต่างๆมีการจัดกระเช้าของขวัญที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ถึงร้อยละ 61.49
“เรื่องนี้เป็นเพราะมาตรการนี้เพิ่งเริ่มใช้เมื่อปีใหม่ 2552 เป็นปีแรก อาจจะมีความสับสนว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ เราพบว่าในร้านค้าที่มีขนาดใหญ่หน่อยมักจะปฏิบัติตามกฎหมายดี ในขณะที่ร้านเล็กๆตามชุมชนยังไม่ทราบเรื่องนี้ สิ่งที่ประชาชนควรจะทราบก็คือ กระเช้าของขวัญที่ไม่มีสุราจะถูกกว่ามีสุราเยอะ เมื่อไม่มีสุราแล้วสามารถมีอย่างอื่นทดแทนได้ เช่น สินค้าเพื่อสุขภาพอื่นๆอย่างที่กระทรวงสาธารณสุขกำลังรณรงค์อยู่ คือ กระเช้าจริงใจ เป็นกระเช้าที่เป็นประโยชน์ต่อคนที่ได้รับและต่อสังคม ” นพ.ทักษพล กล่าว
ที่มา: press release
update: 30-11-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: อัญณิกา กฤษสมัย