กุมารแพทย์เตือน!! ปอดบวมระบาดเด็กเล็ก
แนะหมั่นล้างมือ-ใส่หน้ากากอนามัยป้องกันโรค
กุมารแพทย์เตือน พ่อแม่เตรียมรับมือโรคปอดบวมระบาดในเด็กเล็กช่วงหน้าฝน บางครั้งอาจถึงเสียชีวิต แนะล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัย
เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. นพ.สุชาติ เชิดชูพงศ์ล้ำ กุมารแพทย์ โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์ เปิดเผยว่า ช่วงนี้พบว่ามีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจในเด็กเล็กเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากในช่วงเปิดเทอมเด็กจากหลากหลายที่ไปอยู่รวมกันที่เนอร์สเซอรี่และโรงเรียนเป็นจำนวนมาก ประกอบกับช่วงนี้ฝนตกบ่อยอากาศชื้น เพราะอากาศที่เย็น และชื้นจะเอื้ออำนวยให้เชื้อมีชีวิตอยู่ในอากาศ และแพร่กระจายได้ดียิ่งขึ้น ฉะนั้นพ่อแม่ และครูต้องระวังโรคติดเชื้อที่ติดจากเด็กด้วยกันเอง
โดยเฉพาะเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี เพราะเด็กเล็กยังไม่สามารถป้องกันตนเองจากเชื้อต่างๆ ได้ และยังไม่มีภูมิต้านทานโรคที่สมบูรณ์ โดยโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจถูกพบมากเป็นอันดับต้นๆ เช่น ไข้หวัด คออักเสบ ในบางรายที่มีอาการรุนแรง จะเป็นหูอักเสบ ไซนัสอักเสบ แต่ถ้ารุนแรงมากอาจจะเป็นหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบได้ ส่วนที่พบลงมาคือโรคติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดท้องเสีย ท้องร่วง เป็นต้น
นพ.สุชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่มีความรุนแรง จนบางครั้งอาจจะทำให้เด็กเสียชีวิตได้ ได้แก่ โรคปอดบวม หรือปอดอักเสบ เนื่องจากจะมีการติดเชื้อที่ปอด เมื่อเนื้อปอดโดนทำลาย จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดออกซิเจน และทำให้เสียชีวิตในที่สุด
ซึ่งโรคปอดบวมเกิดได้จากเชื้อหลายชนิด เช่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือทั้งเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียร่วมกัน โรคปอดบวมจากเชื้อไวรัสส่วนใหญ่แล้วยังไม่มียาต้านไวรัสสำหรับทำลายหรือยับยั้ง โรคจะหายได้จากการที่ร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานมากำจัดเชื้อไวรัสได้เอง แต่โรคปอดบวมที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธีอย่างทันท่วงที จะทำให้เชื้อลุกลามเป็นมากขึ้น หรือมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ สมองและกระแสเลือด เป็นต้น ทำให้มีโอกาสเสียชีวิตสูงขึ้น
นพ.สุชาติ กล่าวด้วยว่า ในบรรดาโรคปอดบวมที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียนั้น พบว่าโรคปอดบวมที่เกิดจากเชื้อนิวโมคอคคัส พบมากเป็นอันดับหนึ่ง เพราะเชื้อนิวโมคอคคัส เป็นเชื้อแบคทีเรียที่อาจพบอยู่ในเยื่อบุโพรงจมูก ลำคอของคนเรา
พบว่าอัตราการเป็นพาหะในเด็ก มีเชื้อในโพรงจมูก แต่ไม่แสดงอาการใดๆ เฉลี่ยแล้วสูงถึงร้อยละ 26 หรือคิดเป็นอัตรา 1 ใน 4 ของประชากร เมื่อร่างกายอ่อนแอ หรือเยื่อบุดังกล่าวโดนทำลาย เชื้อนิวโมคอคคัสจะหลุดเข้าสู่ร่างกาย
นอกจากนี้อาจติดเชื้อได้จากการสัมผัสละอองของน้ำมูก น้ำลายของผู้ที่มีเชื้อ ซึ่งก่อทำให้เกิดโรคในระบบต่างๆ ที่สำคัญของร่างกาย เช่น โรคปอดอักเสบ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคติดเชื้อในกระแสเลือด โรคหูชั้นกลางอักเสบ
โดยพบว่ากลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคปอดบวมคือ เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กสุขภาพดีก็ตาม และโอกาสเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้นในเด็กที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกลางวัน เด็กที่อยู่ในชุมชนแออัด เด็กที่เป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรังอาการของโรคปอดบวมเด็กจะมีอาการ เช่น มีไข้ ไอ หายใจถี่และหอบ หายใจลำบากหรือมีเสียงดังวี๊ด ๆ หรือ หายใจแรงจนซี่โครงบุ๋ม
ถ้าพบว่าเด็กมีอาการ ไข้ ไอบ่อย หรือหายใจเร็ว ให้สงสัยว่า เด็กอาจเป็นโรคปอดบวม ควรพาไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจยืนยันและการรักษาที่ถูกต้อง หากพ่อแม่นิ่งนอนใจ ปล่อยทิ้งไว้นานเด็กอาจมีอาการหอบ หายใจลำบาก มีอาการรุนแรงมากขึ้นและอาจไม่ทันการ
“แต่พ่อแม่อย่าเพิ่งตื่นตระหนก เพราะเราสามารถลดการติดเชื้อ และลดการแพร่ระบาดของโรคปอดบวมได้โดยการสร้างสุขอนามัยที่ดี ด้วยการล้างมือเป็นประจำสม่ำเสมอ จะช่วยลดการติดเชื้อที่สัมผัสติดมากับมือได้ รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันที่สมบูรณ์ให้ลูกน้อย ซึ่งในปัจจุบันได้มีการคิดค้นวัคซีนไอพีดี ซึ่งสามารถป้องกันโรคปอดบวมจากเชื้อนิวโมคอคคัส และกลุ่มโรคไอพีดีได้แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้หากลูกไม่สบายไม่ควรให้ไปโรงเรียน เพื่อไม่ให้ไปแพร่เชื้อให้เด็กคนอื่นๆ และต้องให้ใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งสามารถลดการแพร่เชื้อได้ถึงร้อยละ 80 รวมทั้งหลีกเลี่ยงการเล่นคลุกคลีกับเด็กที่ป่วย และพาเด็กไปในสถานที่แออัดเช่นโรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า สวนสนุก เป็นต้น ขณะที่คุณครูและพี่เลี้ยงที่โรงเรียนต้องมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรค ตลอดจนแยกภาชนะ แก้วน้ำของเด็กที่ป่วยไม่ให้ใช้ปะปนกับเด็กคนอื่นๆ เพื่อลดการติดต่อ” กุมารแพทย์ กล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
update 15-06-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก