“กินผัก สร้างสุข” ชะลอวัยไกลโรค
ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
ภาพประกอบจาก สสส.
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ขับเคลื่อนการสร้างค่านิยมการบริโภคผักและผลไม้ตลอดจนการให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนคนไทยล่าสุด จัดกิจกรรม "กินผัก สร้างสุข ปี2" ที่มีกิจกรรม "Veggie's Talk" นำผู้เชี่ยวชาญและผู้มีประสบการณ์มาถ่ายทอดความรู้
ที่ผ่านมาได้จัดโครงการชักชวนให้ผู้ที่สมัครใจเข้าร่วมการกินผักผลไม้อย่างน้อย 400 กรัมต่อเนื่อง 21 วันโดยตั้งเป้าให้คนไทยหันมากินผักและผลไม้เพิ่มขึ้นจาก 25.9% ในปี 2561 เป็น 50% ในปี 2564 เนื่องจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกหรือฮู ระบุว่าการบริโภคผักผลไม้ 400 กรัมต่อวัน ช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหรือโรค NCDs น.ส.จันทร์จิดา งามอุไรรัตน์ หัวหน้าโครงการพัฒนากลุ่มผู้บริโภคผักผลไม้ปลอดภัย400กรัม เพื่อสุขภาพในสำนักงานสสส. กล่าวว่า โครงการฯได้เข้าไปทำกิจกรรมในองค์กรต้นแบบทั้งภาครัฐและเอกชนจำนวน 10 แห่ง ตั้งแต่ปี 2560 หลังมีการอบรมให้ความรู้ความเข้าใจได้ชักชวนผู้สมัครเข้าร่วมการกินผักผลไม้อย่างน้อย 400 กรัมต่อเนื่อง 21 วัน กว่า 100 คน ผลพบว่าทุกคนมีสุขภาพดีขึ้น เช่น ระบบขับถ่าย ผิวพรรณ เป็นต้น
อย่างเช่น น.ส.สุดคนึง ตันวัฒนเสรี Veggies Lovers บอกว่า ปกติไม่ได้เป็นคนกินผักยาก แต่ขาดความสม่ำเสมอในการกิน จึงคิดว่าในเมื่อเรากินผักได้แล้วทำไมไม่กิน ทำให้ตั้งใจที่จะกินผักให้ได้มากขึ้น และการจะกินให้ปลอดภัย สะอาดก็จะต้องทำอาหารทานเอง ทุกเช้าก่อนไปทำงานจะทำอาหารใส่กล่องนำไปทานที่ที่ทำงานด้วย โดยใช้เวลาเพียง20นาทีเท่านั้น เพราะมีการเตรียมวัตถุดิบต่างๆ ไว้ตอนกลางคืนแล้ว และได้เข้าร่วมกับโครงการรับประทานผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ400กรัมต่อเนื่อง21วันของ สสส.ตั้งแต่เดือน ส.ค.2561
ทั้งนี้ ความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่เกิดขึ้นกับสุขภาพตนเองคือ เรื่องการขับถ่าย ซึ่งตั้งแต่โตมาเพิ่งรู้ว่าการถ่ายสุดเป็นอย่างไรและถ่ายทุกวัน ส่วนของผิวพรรณจากเดิมที่เป็นสิวและผดมากบริเวณใบหน้า ติดยาแต้มสิวตลอด คิดว่าเป็นผลจากที่ไม่ได้ขับถ่ายทุกวัน แต่เมื่อกินผักผลไม้แล้วขับถ่ายทุกวัน ร่างกายสดชื่นขึ้น ผิวชุ่มชื้นขึ้น สิวและผดน้อยลงมาก
ขณะที่ พญ.ช่อทิพย์ นาถสุภา พัฒนะศรี อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี และอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคต่อมไร้ท่อและเบาหวาน รพ.บำรุงราษฎร์ อธิบายว่าผักและผลไม้จะมีสารอาหารกลุ่มไมโครนิวเทรียนท์ (Micronutrients)หรือสารอาหารรอง เช่น วิตามินและเกลือแร่ เป็นสิ่งสำคัญที่ร่างกายต้องการเพราะทำหน้าที่ให้ส่วนต่างๆ ในร่างกายทำงานปกติอีกทั้งยังมีพฤกษเคมี หรือไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrients)ที่ทำให้ผักและ ผลไม้เกิดสีและรสชาติต่างกัน อาทิ สีเหลืองเป็นสารแอนตี้ ออกซิแดนซ์ต้านอนุมูลอิสระ และมีกากใยหรือไฟเบอร์ที่มีการวิจัยพบว่าทำให้ลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเช่น หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง มะเร็งบางชนิดและช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น
พญ.ช่อทิพย์ กล่าวอีกว่า ในร่างกายมีแบคทีเรียจำนวนมากกว่าเซลล์ในร่างกาย โดยคนสุขภาพดีมีแบคทีเรียแบบหนึ่งคนสุขภาพไม่ดีก็จะมีแบคทีเรียอีกอย่างหนึ่ง ผักและผลไม้จะเป็นแอนตี้ไบโอติกไปเลี้ยงแบคทีเรียดี โดยเมื่อมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารเพิ่มการกินผักผลไม้1สัปดาห์ พบว่าแบคทีเรียในลำไส้เปลี่ยนแปลงไปมีแบคทีเรียดีขึ้น ซึ่งมีงานวิจัยพบว่ากินผักผลไม้มากกว่า 600 กรัมต่อวันช่วยลด โอกาสเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งลดอัตราตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคอื่นๆ ด้วย
"กินผักและผลไม้ยังมีส่วนสัมพันธ์กับศาสตร์ชะลอวัยด้วยโดยในปี 2552 เอลิซาเบธ แบล็คเบิร์น ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ระบุว่าเซลล์มีโครโมโซม ที่ปลายจะมีเทโลเมียร์ (telomere)มีลักษณะคล้ายปลายเชือกผูกรองเท้าที่จะมีพลาสติกหุ้มตรงปลายไว้เมื่อเซลล์แก่ตัวไปเรื่อยๆ เทโลเมียร์จะสั้นลง ซึ่งบางคนที่แก่เร็วจะพบว่าเทโลเมียร์สั้น แต่หากคนที่มีเทโลเมียร์ยาวๆ ก็จะช่วยให้มีสุขภาพที่ดีและแก่ช้าลง ทั้งนี้ เมื่อกินผักผลไม้จะทำให้เอนไซม์ที่ไปดูแลเทโลเมียร์ดีขึ้น เทโลเมียร์ก็จะยาวขึ้นและแก่ช้าลง รวมถึงการนอนไม่เพียงพอ มีความเครียด การกินที่ไม่ถูกต้องก็มีส่วนทำให้เทโลเมียร์สั้นลง เซลล์ก็จะแก่เร็ว" พญ.ช่อทิพย์ กล่าว
น.ส.แววตา เอกชาวนา นักกำหนดอาหารวิชาชีพ รพ.บำรุงราษฎร์ บอกว่า ในการกินผักผลไม้ให้ได้อย่างน้อย400กรัมใน1วันคำนวณได้ง่ายๆ คือ อย่างน้อยกินผักมื้อละ100กรัม หรือประมาณ1ทัพพี1วันมี3มื้ออาหารจะได้ 300กรัมอีก100กรัมกินผลไม้ แต่ห้ามกินผลไม้มากกว่าผัก และไม่ควรกินผลไม้แทนผักในมื้อเย็น ซึ่งมีงานวิจัยรองรับว่าการกินผักอย่างน้อย 400 กรัมต่อวัน โดยกินผักสีเขียว 200 กรัม และสีอื่นๆ 200 กรัมพบว่า 53 %ของคนที่กินผักสีเขียว ช่วยป้องกันสมองเสื่อมได้นอกจากนี้การกินผักผลไม้สีม่วงเข้มๆ เช่น องุ่นม่วงที่ไม่ปอกเปลือกแก้วมังกรสีแดง ลูกหม่อน จะมีส่วนช่วยให้สมอง ทำงานดีมากขึ้นที่สำคัญทุกครั้งที่กินอาหารสะดวกซื้อจะต้องหาของกินที่เป็นของสุกใหม่ร่วมด้วยโดยเฉพาะผักและผลไม้ แม้ไม่ใช่คำแนะนำที่ดีที่สุดแต่ดีกว่าการให้คนกินอาหารสำเร็จรูปเพียง อย่างเดียว