กำจัดขยะหลังน้ำลด ภารกิจที่ต้องเริ่มตั้งแต่ต้นทาง

 

กำจัดขยะหลังน้ำลด ภารกิจที่ต้องเริ่มตั้งแต่ต้นทาง

 

เราอาจเคยได้ยินคำว่า “น้ำลด ตอผุด”แต่เวลานี้ ต้องขอบอกว่า “เมื่อน้ำลด ขยะผุด”เพราะไม่ว่าผ่านไปจุดไหน ตรอก ซอก ซอย ก็จะเห็นภาพของ “ขยะกองโต”วางเรียงราย ไร้การจัดการอยู่ตามข้างทาง สร้างความรำคาญให้แก่ผู้พบเห็น อีกทั้งยังอาจก่อให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมาได้อีกด้วย ถึงแม้หน่วยงานที่รับผิดชอบต่างระดมกำลังจัดการกับปัญหานี้ด้วยวิธีการต่างๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่ก็ยังไม่สามารถหาจุดสมดุลในการจัดการมันได้

เกี่ยวกับเรื่องนี้  อาจารย์กิตตินันท์ บุญรอด อาจารย์ประจำสาขาการพัฒนาชุมชนมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีบอกกับเราว่า เมื่อน้ำลดลง แน่นอนสิ่งหนึ่งที่กลับมีเพิ่มขึ้น กลับเป็นขยะจำนวนมากมาย จากความเสียหาย ข้าวของภายในบ้านเรือนของประชาชนที่ประสบภัยและเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ขยะเหล่านั้นถูกกำจัดช้า อาจเป็นผลมาจากการที่ไม่มีการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง อาจเนื่องด้วยประชาชนขาดความรู้ ความเข้าในในเรื่องนี้และกลับมองว่าขยะเมื่อทิ้งแล้วก็สามารถทิ้งรวมกันได้และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ทำต่อแทน

“สิ่งสำคัญที่จะช่วยลดปัญหาขยะในเวลานี้ลงได้ นั่นคือ การคัดแยกขยะตั้งแต่ในบ้าน ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เราต้องมีจิตอาสา ต้องช่วยเหลือตนเองก่อนและชุมชน ต้องไม่ผลักภาระไปให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง เพราะเมื่อเราแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง มันก็จะทำให้การจัดการง่ายขึ้น ปริมาณขยะก็ลดลงเร็ว และยังช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อโรคอีกด้วย”อาจารย์กิตตินันท์กล่าว

อาจารย์กิตตินันท์ บุญรอด อาจารย์ประจำสาขาการพัฒนาชุมชน

ดังนั้น เพื่อให้ปัญหาขยะหมดไปโดยเร็ว อ.กิตตินันท์ ได้แนะนำว่าหลังน้ำลดประชาชนทั่วไปก็จะกลับเข้าบ้านเพื่อเก็บกวาดบ้านเรือนของตนเองที่เสียหาย สิ่งแรกที่เราต้องทำคือ การจัดการกับขยะมากมายที่เกิดขึ้นด้วยการแยกมันออกเป็นประเภท โดยแบ่งออกเป็น 5 ประเภทด้วยกัน โดยอันดับแรก คือ ขยะจำพวกเศษอาหาร หรือที่นอน ผ้าห่มที่เน่าเสีย ต้องรีบกำจัดโดยด่วน เพราะนั่นเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคที่อันตรายโดยเฉพาะ ควรนำใส่ถุงดำมัดปากถุงให้เรียบร้อยแล้วจึงนำมาทิ้ง ขยะประเภทที่สอง คือ ขยะอันตราย   เช่น พวกกระป๋องสี  ถ่านไฟฉาย หลอดไฟ รวมไปถึงกระจกที่แตกและยาที่หมดอายุก็ถือเป็นขยะอันตราย ก็ควรหาภาชนะบรรจุและปิดให้มิดชิดก่อนนำไปทิ้งนอกบ้าน

ประเภทที่สาม คือ ขยะลอยน้ำที่มาติดตามบ้านเรือนของเราอาจจะลอยมากับถุงดำ ไม่ควรเปิดออกดูข้างใน เพราะอาจมีเชื้อโรคจำนวนมาก เสี่ยงต่อการเป็นติดโรคต่างๆ ควรนำทิ้งโดยทันที ประเภทที่สี่ คือ ขยะที่เกิดจากการป้องกันภัย เช่น ถุงทราย  อิฐบล็อก หากไม่ใช้แล้วก็ควรใส่ถุงให้เรียบร้อย อย่าเอาไปวางทิ้งไว้เฉยๆ หรืออาจจะเก็บไว้ใช้ในปีต่อไปก็ได้ ประเภทสุดท้าย คือ ขยะจำพวกเฟอร์นิเจอร์และอิเล็กโทนิคเราต้องเลือกดูว่าของใช้ชิ้นไหนใช้ได้ ก็แยกออกไป ชิ้นที่ยังใช้ได้ก็ส่งซ่อมหรือให้ผู้เชี่ยวชาญมาดำเนินการเพื่อแก้ไข ส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่สามารถใช้ได้แล้วและต้องการทิ้ง ควรถอดออกเป็นชิ้นเล็กให้หมด ถอดน็อต ตะปูแยะออกมาเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อการขนย้าย แล้วจึงนำมาทิ้ง

อ.กิตตินันท์บอกต่อว่า เราจะเปลี่ยนวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาสในการผลักดันให้คนหันมาสนใจในเรื่องของขยะให้มากขึ้น ในอนาคตถ้าเป็นไปได้ อาจจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ในการลงพื้นที่ให้ความรู้กับชุมชนให้มากขึ้น เพื่อขยายไปให้ครอบคลุมทั้งประเทศ

“หากเราทำได้อย่างยั่งยืน เราสามารถลดการใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศได้ เมื่อขยะน้อยลง ก็สามารถลดค่าใช้จ่ายของประเทศ ช่วยโลกจากภาวะโลกร้อนและประหยัดพลังงานอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างวินัยของคนในสังคมให้เพิ่มขึ้น เรื่องนี้จะสร้างวินัยในส่วนรวมให้เกิดขึ้นได้”อ.กิตตินันท์ กล่าว

สุดท้าย อ.กิตตินันท์ บอกไว้ว่า ปัจจุบัน ปัญหาการกำจัดขยะเป็นปัญหาใหญ่ของหลายๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทยเองด้วยที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นตลอดเวลา และยังไม่สามารถหาทางออกที่ดี จึงอยากให้ประชาชนอย่างเราๆ ตระหนักถึงการคัดแยกขยะให้สำคัญ ขอให้คิดเสียว่า “กำจัดภาระในบ้านเราก่อน เพื่อจะได้ไม่ผลักภาระไปสู่สังคมต่อไป”อยากชุมชนช่วยเหลือกันเองก่อน เพราะอย่างน้อยเมื่อเราคัดแยก ขยะบางชิ้นสามารถสร้างรายได้ให้คนในชุมชนได้ อีกทั้งการทำงานร่วมกันนั้นยังเป็นการสร้างสานสัมพันธ์กันในชุมชน นับเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่จะนำไปสู่การร่วมกันในเรื่องอื่นๆได้

ไม่ว่าจะเรื่องไหนๆ ก็ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมเป็นพลังในการผลักดันให้สำเร็จ หากอยากให้ประเทศเรากลับมาน่าอยู่ดังเดิม ถึงเวลาที่ทุกคนต้องลุกขึ้นมาช่วยเหลือตนเอง ดีกว่าจะมานั่งรอให้ประเทศเราเต็มไปด้วย “ขยะ”และหาคนรับผิดชอบ

 

 

ที่มา : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code