‘การจ้างงาน’ คืนคุณค่าความเป็นคน

ที่มา : มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม บทความโดย อัครวิทย์ ชูเกียรติศิริชัย


ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


‘การจ้างงาน’ คืนคุณค่าความเป็นคน thaihealth


“ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน” หลายคนอาจเคยได้ยินประโยคเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจว่า “งาน” นั้นมีความหมายต่อคนบางคนมากมายขนาดไหน? โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาคือคนพิการ


CBR พลังชุมชน พลังคนพิการ


“ครู ครูฟื้นฟูพวกผมแล้วจะเอาพวกผมไปไว้ที่ไหน?” คำถามจากคนพิการถึง ครูปุ๋ย กรรณิการ์ สรวยสุวรรณ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิพิทักษ์ดวงตาลำปาง ซึ่งทำงานเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการมาตลอดชีวิต กลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดการคิดต่อยอดโครงการใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมให้คนพิการดูแลตนเองได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจซึ่งหมายรวมถึงการมีอาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของตนเองและชุมชน


“โรงเรียนสอนคนตาบอดสร้างไม่ยาก แต่ชีวิตจริงพวกเขาไม่ได้อยู่กับคนพิการด้วยกันเท่านั้น เขายังต้องอยู่ร่วมกับชุมชน ยังต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น อยู่ร่วมกับสังคม” นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ครูปุ๋ยเชื่อมั่นในแนวคิด CBR (Community Based Rehabilitation) หรือแนวคิดการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการโดยชุมชน และปรับประยุกต์แนวคิดดังกล่าวมาใช้ในการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2529


แนวคิด CBR เป็นแนวทางที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ริเริ่มขึ้นหลังจากที่มีการประกาศใช้ปฏิญญาอัลมา-อตา (Declaration of Alma-Ata) ค.ศ. 1978 เพื่อใช้เป็นยุทธศาสตร์ในการช่วยให้คนพิการในประเทศที่มีรายได้ในระดับต่ำหรือปานกลางให้สามารถเข้าถึงบริการฟื้นฟูสมรรถภาพต่างๆได้ดียิ่งขึ้นด้วยการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด (ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/29PmVro)


“สิ่งที่ได้รับจาก CBR ไม่มีรูปแบบชัดเจน แต่แนวคิดดังกล่าวสามารถช่วยเหลือคนพิการได้ทุกเรื่อง เนื่องจากแนวคิด CBR ครอบคลุม 5 ประเด็นหลักได้แก่ หนึ่งการส่ง‘การจ้างงาน’ คืนคุณค่าความเป็นคน thaihealthเสริมศักยภาพทางการแพทย์ สองการส่งเสริมความรู้การศึกษาให้คนพิการ สามการส่งเสริมอาชีพและการมีงานทำ สี่การเข้าไปมีส่วนร่วมในสังคมแบบได้รับการยอมรับ และห้า empowerment หรือการส่งเสริมให้เขามีศักยภาพมีกลุ่มมีตัวตนในชุมชน” ผอ. มูลนิธิพิทักษ์ดวงตาลำปาง ให้ข้อมูล พร้อมกับยกตัวอย่างกรณีโครงการส่งเสริมอาชีพคนพิการด้วยการทอผ้าเมื่อครั้งที่ยังทำงานร่วมกับคนพิการและชุมชนในแถบจังหวัดภาคอีสานว่า


“คนตาบอดของครูทอผ้าได้ ทอผ้าขาวม้า ผ้าลายสายฝน ลายผ้าง่ายๆ ที่ไม่ต้องจัดลาย ทอผ้าทอลายขิด ขายเป็นอาชีพ คนตาบอดทำได้หลายอาชีพที่เป็นงานหัตถกรรม เราใช้การเรียนรู้ร่วมกับชุมชน ถามชุมชนว่าทำยังไงคนตาบอดถึงจะรู้ว่าจะต้องเปลี่ยนสีเพื่อทำลายผ้าตอนไหน ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่ากระสวยอันนี้สีแดง อันนี้สีฟ้า บางคนเขาก็เสนอให้เอายางรัดกระสวย หนึ่งเส้นสีนี้ สองเส้นสีนี้ สามเส้นสีนี้ คนตาบอดเขาเรียนรู้ได้โดยต้องใช้สัญลักษณ์บางอย่าง แยกความแตกต่าง ทำอย่างไรให้เขารู้ว่ามันต่างกัน”


ขณะเดียวกันครูปุ๋ย ยังชี้ให้เห็นถึงปัจจัยความสำเร็จในการส่งเสริมอาชีพของคนพิการที่ต้องดูให้สอดคล้องกับพื้นที่และชุมชน “เรื่องการพัฒนาอาชีพ เราต้องเข้าใจว่าร้อยละ 80 ของประชากรในประเทศไทย เป็นชาวไร่ ชาวนา เกษตรกร การฝึกให้คนพิการทำงานหัตถกรรมจะต้องคิดว่าเขาทำแล้วจะไปส่งขายให้ใคร ใครจะเอาไปขายให้ เพราะฉะนั้นคนพิการเขาจะต้องได้เลือกอาชีพที่เขาถนัด ถ้าเขาทำอาชีพเกษตร อยู่อย่างพอเพียง ข้าวปลูกเอง ผักเก็บหลังบ้าน ปลาจับได้ในบ่อ ค่าใช้จ่ายต่อวันเขาก็จะไม่เยอะ ต้องรู้จักพอแล้วเขาก็จะมีความสุข ถ้าไม่รู้จักพอก็จะไม่มีวันพอ อย่าคิดว่าอาชีพที่สนับสนุนจะทำให้เราร่ำรวย แต่สิ่งที่ได้คือความสุขกับศักดิ์ศรี นี่คือสิ่งที่สำคัญมาก”


Power Blind Shop อาจไม่เห็นได้ด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยใจ


นอกจากการส่งเสริมอาชีพการทอผ้า และการส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรมให้กับคนตาบอด โครงการล่าสุดที่ ครูปุ๋ย กรรณิการ์ สรวยสุวรรณ์ ได้ดำเนินการและเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างกว้างขวางก็คือโครงการศูนย์เรียนรู้และพัฒนาอาชีพคนตาบอดลำปาง หรือ “ร้าน Power Blind Shop” ณ โรงเรียนการศึกษาคนตาบอดลำปาง ในสังกัดมูลนิธิพิทักษ์ดวงตาลำปาง ต.พระบาท อ.เมือง เขตเทศบาลนครลำปาง ที่เป็นการเปิดมิติใหม่ด้านอาชีพให้กับคนตาบอดด้วยการเป็นบาริสต้าชงกาแฟ


“เนื่องจากโครงการนี้เป็นโครงการที่คิดสร้างสรรค์โดยเราเอง เราตั้งปณิธานจะไม่ใช้เงินมูลนิธิ เลยโทรไปหาเพื่อนหลายแหล่ง บอกเขายังหาเงินไม่ได้ เพื่อนก็เลยโอนให้มาตอนเช้า 100,000 บาท แล้วบอกว่าตอนบ่ายจะโอนให้อีก 100,000 บาท เพื่อนบอกว่า เพื่อนมีความสุขเพื่อนจะได้เอาความสุขที่ตัวเองมีไปแบ่งปันคนพิการ อาทิตย์ถัด‘การจ้างงาน’ คืนคุณค่าความเป็นคน thaihealthมามีผู้ใหญ่ในตระกูลหนึ่งทราบข่าวเลยอยากให้เราเขียนโครงการไป โดยเขาขออย่างเดียวว่าอย่าให้เหมือนอีกหลายๆ โครงการที่พอปักป้ายแล้วโครงการก็ล้ม ขออย่างเดียวให้เราทำต่อเนื่อง” ครูปุ๋ย เล่าถึงความเป็นมาของ Power Blind Shop


ในส่วนของกระบวนการในการฝึกฝนบาริสต้าที่มีปัญหาทางสายตา ครูปุ๋ยให้ข้อมูลว่า “เราถามเขาก่อนว่าคุณชอบไหม เพราะถ้าไม่ชอบไม่มีทางสำเร็จ เริ่มจากคน 5 คน ใช้เวลาฝึกฝนตอนแรก 6 เดือน กาแฟก็ทดลองชงกันในออฟฟิศให้เด็กๆ หัด แล้วก็มีคนชิม เขาก็มีการคิดสร้างสรรค์กาแฟใหม่ๆ มาให้เราชิม เราเอาเทคนิคติดตัวอักษรเบลบนที่ตวงกาแฟ ตอนแรกๆ เราจะจัดกาแฟแต่ละประเภทเป็น set ให้เขา เช่น คาปูชิโน่เย็น-ร้อน เราจะผสมตวงใส่ถุงให้เขา การชงกาแฟเราต้องใช้เครื่องอัตโนมัติ แต่การแท้มป์ (tamping) หรือการกดอัดผงกาแฟเขาทำเอง แล้วเราก็ทำเครื่องหมายอักษรเบลติดที่แก้วตวง ตอนหลังค่อยๆ เอาออก” ซึ่งการฝึกฝนอาชีพการชงกาแฟให้กับคนพิการถือเป็นการยกระดับอาชีพให้กับคนพิการไปอีกขั้นหนึ่ง ที่นอกเหนือไปจากอาชีพการนวดแผนไทย หรือหัตถกรรมซึ่งสังคมส่วนใหญ่รับรู้เกี่ยวกับคนพิการ


“การที่คนพิการจะมีที่ยืนในสังคม คือมีอาชีพพึ่งตนเองได้ มีรายได้เป็นของตนเอง นี่คือศักดิ์ศรีคนพิการ การที่เขามีอาชีพคือจุดเปลี่ยนชีวิตคนพิการ” ผอ.มูลนิธิพิทักษ์ดวงตาลำปาง ย้ำถึงความสำคัญของการสร้างอาชีพหรือการจ้างงานคนพิการ


การเตรียมความพร้อมคนพิการสู่การมีงานทำ


ความเข้าใจผิดประการหนึ่งของมนุษย์ที่คิดว่าตนเองปกติ ก็คือไม่คิดไม่ฝันว่า “ความพิการ” จะเกิดขึ้นกับตน แต่ความเป็นจริงในชีวิตประจำวันกลับพบว่ามีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องพิการจากเหตุการณ์ที่เรียกว่า “อุบัติเหตุ” เช่นเดียวกับ อดีตนักบินว่าที่หัวหน้าหน่วยฝูงบินขับไล่ F-16 แห่งกองทัพอากาศ นาวาอากาศเอก ภราดร คุ้มทรัพย์ ประธานมูลนิธิพัฒนาศักยภาพคนพิการ ที่อุบัติเหตุทางรถยนต์ได้ทำให้เขาสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวทางร่างกาย แต่หัวจิตหัวใจที่ไม่เคยพิการทำให้เขามุ่งมั่นทำงานเพื่อสังคมได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมไม่เพียงแต่เฉพาะสำหรับคนพิการเท่านั้น


‘การจ้างงาน’ คืนคุณค่าความเป็นคน thaihealth


“งานพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการมันต้องมอง 2 ส่วนหลัก คือ หนึ่งตัวคนพิการ สองสภาพแวดล้อม ที่ตัวคนพิการ เรื่องการศึกษาคุณส่งเสริมหรือเปล่า เรื่องสุขภาพอนามัย เรื่องสวัสดิการสังคมต่างๆ เรื่องระบบสวัสดิการคุณเตรียมความพร้อมขนาดไหน คุณฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย จิตใจให้เขาพร้อมหรือยัง อีกส่วนหนึ่งเรื่องสภาพแวดล้อม อย่างเรื่องอารยสถาปัตย์ ทางลาด ห้องน้ำทุกอย่างคุณจัดเตรียมเอาไว้หรือยัง ถ้าสองส่วนนี้โอเค มันจะผสานกันพอดี ด้านการเตรียมความพร้อมสภาพแวดล้อมซึ่งเป็นเรื่องงานพิทักษ์สิทธิ มันเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับคนทั่วไปทั้งคนท้อง คนแก่ด้วย มันเป็นการเตรียมความพร้อม เพราะเราไม่รู้ใครจะพิการอีก อีกหน่อยคุณก็ต้องแก่ต้องชรา แน่นอนที่สุดมันต้องมีการเตรียมความพร้อมบางอย่าง เพราะฉะนั้นงานพัฒนาคุณภาพชีวิตและงานพิทักษ์สิทธิทั้งสองส่วนต้องสมดุลกัน” ประธานมูลนิธิพัฒนาศักยภาพคนพิการ ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมเพื่อคนทุกๆ คน


ส่วนประเด็นที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงแรงงาน (รง.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ องค์กรด้านการส่งเสริมอาชีพคนพิการ และเครือข่ายคนพิการ รวมถึงภาคธุรกิจได้ร่วมกันแถลงข่าว “สานพลังประชารัฐ สร้างงาน สร้างอาชีพคนพิการ 10,000 ตำแหน่ง” เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ที่ผ่านมา น.อ.ภราดร คุ้มทรัพย์ มีความเห็นเพิ่มเติมว่า “โดยส่วนใหญ่คนพิการจะบอกว่าไม่ต้องการคำว่าสงสาร เคยได้ยินไหม เราขอเรื่องโอกาส เราก็เหมือนคนทั่วไปในสังคม งานก็งานคุณก็มอบหมายมา แต่พอกฎหมายมันเอื้อ คนเริ่มมอบโอกาสดีๆ ให้ แต่ตัวคนพิการยังไม่มีความพร้อมเรื่องการเข้าสู่ระบบงานมันอาจจะส่งผลเสียในอนาคตได้ พี่ใช้คำว่าอาจจะ เพราะคนที่เขาเก่งๆ ดีๆ ก็เยอะแยะนะ… เพราะเราไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะได้รับเงินเดือนเดือนละ 9,000 บาท หักประกันสังคม 400 กว่าบาท อย่างนี้ตลอดไป ไม่ใช่ เราเชื่อว่าถ้าเขามีศักยภาพที่เพียงพอ ในเรื่องของตัวเนื้องานกับค่าตอบแทนมันจะสมเหตุสมผลกัน”


ขณะเดียวกันประธานมูลนิธิพัฒนาศักยภาพคนพิการ ยังได้ฝากความเห็นถึงผู้ประกอบการเกี่ยวกับการร่วมสนับสนุนการจ้างงานคนพิการ 10,000 อัตรา ในปี พ.ศ. 2559 ว่า “ในประเด็นที่อยากจะสื่อสาร ยิ่งรู้ว่าเป้าหมายเป็นนักธุรกิจก็คือ อยากจะพยายามพูดโยงเกี่ยวกับมูลค่ากับคุณค่าที่เขาจะได้รับ เดิมนักธุรกิจแน่นอนที่สุด‘การจ้างงาน’ คืนคุณค่าความเป็นคน thaihealthคุณก็ต้องเลือกผลประโยชน์ในเรื่องของเงินทองกำไร-ขาดทุน แต่ว่างานที่คุณกำลังจะทำต่อไปนี้มันไม่มีขาดทุน-ไม่มีกำไร มีแต่คุณค่า แค่คุณเซ็น MOU (Memorandum of Understanding : บันทึกความเข้าใจ) ร่วมกับผู้จัดคุณก็จะรู้สึกดีแล้ว”


21 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เป็นอีกครั้งที่หน่วยงานภาครัฐอย่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน ภาคประชาสังคมซึ่งนำโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคเอกชน จะได้ร่วมมือกันสนับสนุนการขับเคลื่อนโอกาสสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับคนพิการ ผ่านงานประกาศความร่วมมือ “สานพลังสู่มิติใหม่ สร้างงาน สร้างอาชีพคนพิการ 10,000 อัตรา” ณ หอประชุม ศ.สังเวียน อินทรชัย ชั้น 7 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก ซึ่งการเคลื่อนไหวของทุกภาคส่วนในสังคมเพื่อทำให้คนพิการมีงานทำในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสดีอีกครั้งสำหรับสังคมไทยที่จะเริ่มต้นการสร้างสรรค์สังคมใหม่ๆ ที่จะไม่มีใครถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง 

Shares:
QR Code :
QR Code