กรุงเทพฯ ตั้งกองทุนช่วยเหลือ เด็ก-ผู้หญิง ถูกทำร้าย
อีกหนึ่งโครงการยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี
ผู้หญิงไทยเดี๋ยวนี้ ไม่เหมือน สตรีไทยโบราณ ที่ยอมให้ ผู้ชายเป็น ช้างเท้าหน้า จะพาเดินไปทางไหน ก็เดินตามต้อยๆ
เพราะผู้หญิงไทยเดี๋ยวนี้ กำลังดึงจิตและวิญญาณของตนเองให้มาอยู่กับเนื้อกับตัว พร้อมที่จะเป็นตัวของตัวเอง กล้าทำ กล้าคิด และกล้าแสดงออก ที่จะเรียกความเสมอภาคและความยุติให้เท่าเทียมกันกับผู้ชายในสังคม
ดังจะเห็นได้เกือบจะทุกชั่วโมงในยามนี้(หากใครติดตามดูทีวี) ที่มีการถ่ายภาพให้เห็น กลุ่มผู้หญิงไทย เข้าไปร่วมอยู่ในกลุ่มคนที่มาเรียกร้องสิทธิต่างๆ เพื่อความเป็นธรรม และเพื่อประเทศชาติมากขึ้น
ดูไปดูมา สังเกตไปสังเกตมา หลายคนพากันพูดว่าในจำนวนกลุ่มคนทั้งหมด น่าจะมีผู้หญิงออกมาร่วมขบวนการมากกว่าผู้ชายด้วยซ้ำไป น่าจะเป็นนิมิตรหมายที่ดีว่า ผู้หญิง วันนี้ แข็งแรง และ แกร่งกล้า มากกว่า สตรีไทยที่เคยมีมาแต่โบราณกาล
ถึงแม้จะมีภาพดังกล่าวนี้ออกมายืนยันให้เห็นมิได้ขาด แต่จากสถิติ ของ องค์การสหประชาชาติ ก็ยังระบุว่า บนโลกใบนี้ กลุ่มเพศหญิงยังมีปริมาณถูกย่ำยี ถูกทำทารุณกรรมจากเพศชายอยู่อีกมาก แถมยังไม่มีแนวโน้มว่าจะยุติ หรือ ลดน้อยลงไปเสียด้วย
องค์การสหประชาชาติ จึงได้มีการประกาศให้ วันที่ 25 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวัน รณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี พร้อมๆกับส่งเสริมการจัดกิจกรรมไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก ให้ช่วยกัน ปกป้อง และรณรงค์ไม่ให้ เด็ก และสตรีถูกทำทารุณกรรม
ในประเทศไทยของเรา ก็มีสถิติการกระทำความรุนแรงแก่เด็ก และสตรี มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วงเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในสังคมเมืองที่เจริญด้วยวัสดุ ยิ่งมีแนวโน้มการทำทารุณกรรมแก่ผู้อ่อนแอกว่าอย่างน่าเป็นห่วง
ทั้งนี้ทั้งนั้น คงจะเนื่องมาจาก ธรรมชาติที่เขาระบุว่า “เมื่อวันใดที่วัตถุเจริญมากขึ้น วันนั้นศิลธรรมจะลดน้อยถอยลงไป”
กรุงเทพฯ ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นท้องถิ่นที่มีความเจริญทางวัตถุมากที่สุดของประเทศ จึงหนีไม่พ้น ภาวะที่จะเกิดพฤติกรรมการทำทารุณกรกรมแก่เด็ก และสตรีซึ่งถือว่าเป็นเพศที่อ่อนแอมากที่สุดเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้เอง จึงได้เกิดโครงการช่วยเหลือการทำทารุณกรรมแก่เด็กและสตรีขึ้นใน กรุงเทพมหานคร ด้วยการจัดตั้งกองทุนยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีกรุงเทพฯ ขึ้น
ด้วยการอาศัย วันที่ 25 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันรณรงค์ยุติความรุนแรงเด็กและสตรี ขององค์การสหประชาชาติเป็นจุดเริ่มต้น
เกี่ยวกับกองทุนดังกล่าวนี้ คุณเพียงใจ วิศรุตรัตน ผอ.สำนักพัฒนาสังคม (สพส.) เปิดเผยว่า เนื่องจากองค์การสหประชาชาติ ประกาศให้วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี
ทาง สพส. หรือ สำนักงานพัฒนาสังคม จึงได้เปิดตัวกองทุนยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีกรุงเทพฯ ขึ้นที่ศูนย์เยาวชนกรุงเทพฯ (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง ในวันที่ 25 พ.ย. เช่นเดียวกัน เรียกว่า กองทุน ดังกล่าวนี้ จะเป็นหน่วยงานที่คอยส่งเสริม และให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินแก่ เด็กและสตรีที่ถูกทำทารุณกรรมนั่นเอง
กองทุนดังกล่าว มีทุนจัดตั้งเริ่มต้นที่ 50 ล้านบาท โดยในอนาคตจะเปิดรับการบริจาคเพื่อหาทุนเข้ามาเพิ่มเติมด้วย
อย่างไรก็ตาม เพื่อมิให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการเงิน และการพิจารณาช่วยเหลือ ทางกองทุนดังกล่าว จึงจะจัดให้มีผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอกรวม 5 ท่าน มาร่วมบริหารและดูแลการใช้จ่ายกองทุนดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปด้วยความโปร่งใส นั่นเอง
เมื่อเริ่มตั้งกองทุน ได้มี นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม.เป็นประธาน ซึ่งแม้ว่านายอภิรักษ์จะลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. แล้วก็ไม่เป็นปัญหาในการบริหารกองทุนแต่อย่างใด
เจตนาหรือเป้าหมายที่แท้จริงของการทำกองทุนดังกล่าว เพื่อช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกทำร้าย โดยผู้ที่จะได้รับความช่วยเหลือดังกล่าวจะต้องเป็นคนกรุงเทพฯ เท่านั้น และเงินจากกองทุนนี้จะให้ความช่วยเหลือ แก่เด็กและสตรี ที่ต้องผ่านมาจากหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนเท่านั้น
เด็ก หรือ สตรี ที่ถูกทำร้ายจะเดินทางดุ่มๆ เข้ามาขอทุนเพื่อขอความช่วยเหลือนั้น ยังทำไม่ได้ ต้องให้หน่วยงานเป็นผู้ติดต่อเข้ามา
ดังนั้น เด็กและสตรีคนใดที่ต้องการความช่วยเหลือ จำเป็นต้องติดต่อผ่านยังหน่วยงานทั้งของภาครัฐ และเอกชนที่ทำเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานภาครัฐรวมทั้งภาคเอกชนที่ดำเนินงานโดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกทำร้าย สามารถเสนอเรื่องเพื่อขอรับเงินทุนช่วยเหลือดังกล่าวได้ โดย กทม. มีเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือตั้งแต่ไม่เกิน 2 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาทขึ้นไป ตามความเดือดร้อน
ส่วนประชาชนทั่ว ๆ ไปสามารถขอรับความช่วยเหลือดังกล่าวได้ โดยจะต้องผ่านองค์กรหรือหน่วยงาน ซึ่งสามารถติดต่อเข้ามาที่ สพส. ได้ โดยจะเริ่มเปิดรับโครงการเพื่อคัดเลือกในเดือน ม.ค.-ก.พ. นี้
คากว่า จากจุดเริ่มต้นดังกล่าวนี้ คงจะทำให้กองทุนได้มีการขยายไปยังเด็ก และสตรีที่ถูกทำร้ายทั่วทุกภูมิภาคของไทยในอนาคตต่อไป เพราะไม่เพียงแค่ เด็ก และสตรีจะถูกทำร้ายแต่ใน กทม. เท่านั้น ทุกแห่งหนที่ยังมีเด็ก มีสตรี และมีผู้ชาย เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ย่อมเกิดมีขึ้นในทุกชุมชนแน่นอน
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
Update 03-12-51