ไตรพลังผลักดันชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง
ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
"พระเจดีย์ เริ่มสร้างจากฐานล่างเสมอ…" ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ได้กล่าวไว้ เพราะการพัฒนาท้องถิ่น คือ จุดยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาประเทศ ประเทศจะเข้มแข็งได้ต้องเริ่มจากระบบรากหญ้า ดังนั้น การพัฒนาระบบท้องถิ่นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
เมื่อไม่นานมานี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัด พิธีลงนามความร่วมมือ เพื่อการขับเคลื่อนศักยภาพเครือข่ายชุมชนท้องถิ่นในการจัดการตนเอง โดยใช้พื้นที่เป็นตัวตั้งระหว่างสถาบันวิชาการกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดย นางดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สำนัก 3) สสส. กล่าวว่า แผนงานสุขภาวะชุมชน สสส.มีแนวทางในการทำงานโดยยึดหลักพื้นที่เป็นตัวตั้ง และมีประชาชนเป็นเป้าหมาย สสส. จึงมีแนวคิดในการส่งเสริมการทำงาน ของมหาวิทยาลัยราชภัฏทั้ง 10 แห่ง ซึ่งอาศัยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของบุคลากรในมหาวิทยาลัยโดยสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างนักวิชาการจากสถาบันวิชาการ กับศูนย์จัดการเครือข่ายสุขภาวะชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเครือข่าย ด้วยการถอดบทเรียนปฏิบัติการจริง รวมถึงกระบวนการงานวิจัยในการพัฒนาการทำงานในพื้นที่ เพื่อเพิ่มศักยภาพระบบการจัดการสุขภาวะในชุมชน ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ช่วยกำหนดเป็นเชิงนโยบาย สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นอื่นๆ ในอนาคตต่อไปได้
ขณะที่ นายธนา ยันตรโกวิท รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้กล่าวถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่า มีพลังที่สำคัญอยู่ 4 ด้านคือ 1.กฎหมาย เป็นสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ท้องถิ่นต้องทำเพราะถือเป็นเรื่องที่ต้องใช้พลังของกฎหมายในการขับเคลื่อนและพัฒนาชุมชนในท้องถิ่น 2.ทรัพยากร การมีระบบสารสนเทศที่ดี ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่จะช่วยประกอบการตัดสินใจในเวลาอันรวดเร็วและถูกต้อง 3.สังคม เป็นการสร้างพลังประชาชนให้เป็นพลเมืองที่สามารถเข้ามาช่วยพัฒนาท้องถิ่นของตนเองได้ และ 4.ปัญญา การนำเอาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาผนวกกับหลักวิชาการเข้าด้วยกัน ด้วยการแลกเปลี่ยนการทำงานระหว่างเครือข่าย ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏทั้ง 10 แห่งนี้ จะเข้ามาจัดกระบวนการองค์ความรู้ และสร้างหลักการความรู้ที่หลากหลายซึ่งหากทำเป็นมาตรฐานแล้วก็จะนำไปสู่การถ่ายทอดที่เป็นประโยชน์กับท้องถิ่นอื่นๆ อย่างไรก็ตาม หากพลังทั้ง 4 นี้สามารถรวมกันจะถือว่าเป็นตัวขับเคลื่อนท้องถิ่นให้กลายเป็นท้องถิ่น 4.0 ได้
ด้าน นางสาวสุมัณฑนา จันทโรจวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักประสานและส่งเสริมกิจการอุดมศึกษา (สกอ.) กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลมีนโยบาย Thailand 4.0 หรือ Start up เพื่อที่จะดึงประเทศไทย ออกจากกับดักรายได้ปานกลาง แต่ว่าชุมชนยังมีความเหลื่อมล้ำแตกต่างกันอยู่มาก เพราะฉะนั้นบทบาทของอุดมศึกษา จึงเป็นสิ่งสำคัญซึ่งทางสกอ. ได้สร้างเครือข่ายมหาวิทยาลัยขึ้นและมหาวิทยาลัยก็จะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง (Note) ในการช่วยพัฒนาชุมชนหรือสังคม โดยนำเอาองค์ความรู้จากหลายสาขาวิชาเข้าไปช่วยชุมชนท้องถิ่น
นางสาวสุมัณฑนา กล่าวเพิ่มเติมว่า สกอ.เน้นการสร้างนักวิจัยโดยนำงานวิจัยเชิงชุมชนฐานรากเข้ามาช่วยในการสร้างนักวิจัยด้วยการให้มหาวิทยาลัยที่เข้มแข็งไปเป็น พี่เลี้ยงให้กับมหาวิทยาลัยที่ต้องการความช่วยเหลือ เพื่อนำองค์ความรู้วิชาการเหล่านี้มาติดตามประเมินผลทำให้ชุมชนได้รู้จักใช้ทรัพยากรท้องถิ่นให้เกิดมูลค่าสูงสุด
"ขณะนี้เรายังมีความท้าทายอยู่หลายจุด คือเรามีองค์ความรู้แต่บางทีเราไม่ทราบว่าโจทย์ของชุมชนนั้นคืออะไร มีการพูดถึงว่าชุมชนดีใจเมื่อมหาวิทยาลัยได้เข้าไป แต่เมื่อมหาวิทยาลัยออกไปชุมชนก็เหมือนเดิม เป็นสิ่งที่น่าคิดว่าเราจะต้องทำอย่างไร ดังนั้นมหาวิทยาลัยก็อาจจะต้องลุกมาทำงานเชิงรุกมากขึ้น เราอาจจะต้องลงไปหาแล้วนำความร่วมมือจากชุมชนมาทำงานร่วมกับเรา ในลักษณะของหุ้นส่วนความร่วมมือ (Partnership) และเน้นงานวิจัยที่พุ่งเป้า ส่วนผู้นำชุมชนก็เป็นแกนนำสำคัญ ที่จะเป็นตัวเชื่อมระหว่างความรู้มหาวิทยาลัยที่จะนำไปสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน" ผอ.สำนักประสานและส่งเสริมกิจการอุดมศึกษา กล่าว
การลงนาม MOU ในครั้งนี้ ถือเป็นการร่วมมือไตรพลัง ได้แก่พลังปัญญา พลังนโยบาย และพลังชุมชน เพราะชุมชนเป็นรากฐานของประเทศ มาร่วมกันสร้างท้องถิ่นน่าอยู่ เพื่อทำให้บ้านเมืองของเราพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป