เปิดพิพิธภัณฑ์สุขภาวะทางเพศ แห่งแรกในเอเซีย
คาดเด็ก 8 แสน สนใจเข้าชม
สสส.จับมือ อพวช.-UNESCO เปิดพิพิธภัณฑ์สุขภาวะทางเพศ Healthy Sexuality: Story of Love แห่งแรกในเอเซีย คาด 8 แสนวัยโจ๋ได้เรียนรู้เพื่อสร้างสุขภาวะทางเพศ ชี้ผลสำรวจผู้ปกครอง พบ 3 คำถามยอดฮิตของเด็กไทย “ความแตกต่างทางสรีระ-หนูเกิดมาอย่างไร-การทำความสะอาดของเด็ก”
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 10 สิงหาคม ที่องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ รังสิต คลอง 5 จ.ปทุมธานี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) โดยแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง(สคส.) ร่วมกับองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) และองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(UNESCO) เปิดพิพิธภัณฑ์สุขภาวะทางเพศ Healthy Sexuality : Story of Love ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์สุขภาวะทางเพศแห่งแรกในเอเชีย เพื่อสร้างความตระหนักเรื่องสุขภาวะทางเพศแก่เยาวชนโดยการเรียนรู้ตามอัธยาศัย คาดว่าจะมีผู้เข้าชมทั้งที่ อพวช.และชุดเคลื่อนที่กว่า 8 แสนคน
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรองประธานคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ คนที่ 1 กล่าวว่า จากผลสำรวจเด็กรวม 2,600 คน ซึ่งมีเยาวชนอายุ 9-11 ปี พบว่า เด็กปรึกษาเรื่องเพศกับเพื่อนร้อยละ 51 ปรึกษาพ่อแม่ร้อยละ 14 และปรึกษากับแฟนร้อยละ 10 เลยเป็นที่น่าเป็นห่วงว่า หากปรึกษากับเพื่อนหรือแฟนก็อาจได้คำตอบที่ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้เด็กและเยาวชนร้อยละ 65 ไม่ทราบวิธีคุมกำเนิด ร้อยละ 64 ไม่รู้การป้องกัน ขณะเดียวกันเด็กก็คาดหวังให้พ่อแม่เป็นผู้ให้คำปรึกษาถึงร้อยละ 60 และครูร้อยละ 45 ซึ่งพ่อแม่อาจขาดความรู้ในการให้คำอธิบายอย่างเหมาะสม เด็กอาจเลือกปรึกษากับเพื่อนที่ไม่มีความรู้ในเรื่องเพศเพียงพอ
“สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ ในปัจจุบันมีเด็กและเยาวชนตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร เฉลี่ยถึงวันละ 262 คน จากข้อมูลของสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พบว่า จำนวนแม่วัยใสที่ไปแจ้งเกิดบุตรตนเองมีจำนวนสูงสุดในปี 2550 คือ 108,496 คน และในปี 2551 ลดลงเหลือ 95,747 คน ซึ่งการให้ความรู้เรื่องเพศที่ผ่านมายังเป็นสิ่งที่ปิดในสังคมไทย รวมถึงผู้ปกครองยังขาดความรู้และทักษะในการอธิบายเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจแก่เด็กและเยาวชนตามสมควรแก่วัย การเปิดพิพิธภัณฑ์สุขภาวะทางเพศ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ของเด็ก พ่อแม่ และผู้ที่สนใจ จึงถือเป็นการเปิดกว้างการเรียนรู้แก่เยาวชน นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมแผนระยะยาว ด้วยการยกร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองอนามัยการเจริญพันธุ์ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นภาคส่วนต่างๆให้ความรู้เรื่องเพศอย่างรอบด้าน และยังเป็นการลดปัญหาค่าใช้จ่ายทางสาธารณสุข” รมต.สธ. กล่าว
ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงรอง สสส. กล่าวว่า ปัญหาเพศสัมพันธ์ ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับ 1 ของเด็กและเยาวชนไทยในยุคปัจจุบัน และจากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ปกครอง จำนวน 100 คน โดยสถานีวิทยุครอบครัว Fm 105 ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2553 เกี่ยวกับการให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเพศแก่บุตรหลาน พบว่า บทบาทในการให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเพศของผู้ปกครอง มีจำนวนถึง 80% ที่คุยได้ทุกเรื่อง ส่วนอีก 20% คุยได้บางเรื่องหรือเลี่ยงที่จะตอบคำถาม สำหรับสาเหตุที่ผู้ปกครองไม่กล้าตอบคำถามในเรื่องเพศ เนื่องจากไม่รู้วิธีที่จะอธิบาย และบางส่วนมองว่า เป็นเรื่องที่เด็กไม่ควรรับรู้ โดยคำถามที่ผู้ปกครองมีความอึดอัดและไม่กล้าตอบมากที่สุด 1. คำถามเกี่ยวกับความรัก ความสัมพันธ์ ในเชิงการมีเพศสัมพันธ์และพรหมจรรย์ 2. รสนิยมทางเพศ 3. สรีระและการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย 4. การคุมกำเนิด และ5. การป้องกันตนเอง และการรู้จักปฏิเสธ โดยคำถามยอดฮิตที่เด็กและเยาวชนสอบถามผู้ปกครองมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ 1. ความแตกต่างทางสรีระของร่างกาย 2. หนูเกิดมาได้อย่างไร และ 3. การทำความสะอาดของเด็กผู้ชาย ซึ่งผลสำรวจดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า เด็กและเยาวชนกำลังคาดหวังการให้ความรู้และความเข้าใจในเรื่องเพศที่ถูกต้อง
“ความแตกต่างระหว่างเพศชายหญิง เด็กเกิดมาได้อย่างไร และการทำความสะอาดอวัยวะเพศเพื่อสร้างความตระหนักทางเพศ ด้วยการเรียนรู้ตามอัศยาศัย เพื่อมีความเข้าใจทางเพศอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ยังมีการพัฒนากิจกรรมสำหรับเด็กให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และพัฒนาหลักสูตรอบรมครู ซึ่งพิพิธภัณฑ์สุขภาวะทางเพศ จะจัดขึ้นระหว่างเดือนกรกฎาคม 2553 – มิถุนายน 2554 หลังจากนี้ พิพิธภัณฑ์สุขภาวะทางเพศจะเคลื่อนที่ไปยังโรงเรียนต่างๆ ผ่านศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งร่วมกับเครือข่ายสถาบันการศึกษา และครูอาจารย์ เพื่อเป็นเครื่องมือสนับสนุนให้แก่สถาบันการศึกษา ในการสื่อสารเรื่องเพศศึกษาให้แก่เยาวชนโดยเฉพาะที่อยู่ในเขตภูมิภาคให้มากที่สุด” ทพ.ศิริเกียรติ กล่าว
นายกวาง-โจ คิม ผู้อำนวยการองค์การยูเนสโก กรุงเทพฯ กล่าวว่า สถิติจากโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) ปี 2551 พบว่า ประมาณ 40% ของเยาวชนช่วงอายุ 15-24 ปี ยังขาดความรู้และความเข้าใจในเรื่องของเอชไอวี ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มปัญหาการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรและความรุนแรงต่อผู้หญิงในสังคมอีกด้วย นี่คือข้อพิสูจน์ว่า เราควรจะมีวิธีการนำเสนอข้อมูลที่แปลกใหม่และน่าสนใจ เพื่อให้ความรู้และความเข้าใจแก่เยาวชน ดังนั้น จึงหวังว่า พิพิธภัณฑ์นี้จะช่วยหยุดความเงียบของความไม่รู้ทางสุขภาวะทางเพศ และปลุกความกล้าที่จะเปิดโลกทรรศใหม่ๆให้แก่เยาวชนและวัฒนธรรมของเรา รวมทั้งจะเปิดช่องทางใหม่ๆในการศึกษาและสื่อสารอย่างเปิดเผยและเป็นประโยชน์แก่เยาวชน ซึ่งแตกต่างจากวิธีการเดิมคือสื่อสารและเรียนรู้กันแบบปิดเงียบ สิ่งนี้เองจะทำให้เด็กและเยาวชนได้รับความรู้และความเข้าใจอย่างถูกต้อง ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจและการปฏิบัติในสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าถูกต้องและสมควร
ดร.พิชัย สนแจ้ง ผู้อำนวยการอพวช. กล่าวว่า การจัดแสดงเนื้อหาพิพิธภัณฑ์จะประกอบด้วย 6 โซนแห่งการเรียนรู้ ดังนี้ 1. แนะนำเข้าสู่นิทรรศการ 2. โซนความรักและความปราถนา: ความรักที่หลากหลายเชื่อมโยงกับทางวิทยาศาสตร์ 3. โซนของความสัมพันธ์และการสื่อสารระหว่างมนุษย์ 4. โซนความรู้ในเรื่องเพศสัมพันธ์ การให้กำเนิด และการคุมกำเนิด 5. โซนให้ความรู้เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับชนิดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการป้องกันทั้งต่อตนเองและผู้อื่น และ 6. โซนทางเลือก เพื่อให้เข้าใจสุขภาวะทางเพศของ “ตัวเอง” เพื่อประเมินความรู้และความเข้าใจจากการเยี่ยมชมนิทรรศการ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชม ไม่ต่ำกว่า 600,000 คน รวมถึงการจัดชุดนิทรรศการเคลื่อนที่ไปยังจังหวัด ไม่ต่ำกว่า 300,000 คน ที่จะมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องสุขภาวะทางเพศมากยิ่งขึ้น
น.ส.ณัฐยา บุญภักดี ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ สสส. กล่าวถึงผลสำรวจคำถามที่เด็กอยากรู้ แต่ผู้ใหญ่ไม่กล้าตอบว่า ประเด็นสำคัญคือเกือบครึ่งหนึ่งของคุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครอง ที่ไม่กล้าตอบคำถามเรื่องเพศ สะท้อนให้เห็นว่าผู้ใหญ่มีทัศนคติในเรื่องเพศว่าเป็นเรื่องที่เด็กไม่ควรรู้ ซึ่งสวนทางกับความเป็นจริงกับสังคมไทยในปัจจุบัน ที่ทุกวันนี้ เรื่องเพศได้แทรกซึมเข้ามาในชีวิตประจำวัน ผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งเรื่องเพศไม่ใช่แค่การมีเพศสัมพันธ์ แต่ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องของผู้หญิง ผู้ชาย ความสัมพันธ์ระหว่างกันในแต่ละด้าน ดังนั้น ผู้ใหญ่ควรปรับเปลี่ยนทัศนคติ เปิดใจสักเล็กน้อย เพื่อเป็นส่วนช่วยให้ลูกปลอดภัย มีภูมิคุ้มกันในเรื่องเพศ ซึ่งจากการสำรวจเด็กแรกรุ่นจนถึงวัยรุ่นว่าต้องการคุยกับใครมากที่สุด อันดับแรกคือคุณพ่อคุณแม่ แต่หากไม่ปรับเปลี่ยนก็เท่ากับปล่อยให้ลูกหลานเผชิญกับข้อมูลต่างๆที่ถาโถมเข้ามา โดยกลั่นกรอง เลือกรับ และปรับใช้ไม่เป็น
ที่มา : หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ
Update: 11-08-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่