เตือนภัยไข้มาลาเรีย! ยุงก้นปล่องพาหะนำโรค เที่ยวป่าต้องระวัง สวมเสื้อผ้ามิดชิด ทากันยุง
ที่มา: pptvhd36
โรคไข้มาลาเรีย (Malaria) หรือ ไข้จับสั่น หรือ ไข้ป่า ไข้ดง เป็นโรคติดต่อที่มียุงก้นปล่องบางชนิดเป็นพาหะ เกิดจากเชื้อโปรโตซัวพลาสโมเดียม ซึ่งเป็นเชื้อโรคที่อาศัยในเลือด มีวงจรของเชื้อระยะต่างๆ สลับกัน คือระยะมีเพศและไม่มีเพศ และมีวงจรชีวิตอยู่ทั้งในสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์จำพวกยุง
สาเหตุหลักคือถูกยุงก้นปล่องที่มีเชื้อกัด ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่อาจพบได้ เช่น จากแม่ที่ป่วยเป็นไข้มาลาเรียสู่ลูกในครรภ์ การถ่ายโลหิต เป็นต้น เมื่อยุงก้นปล่องตัวเมียกัดผู้ป่วยที่มีเชื้อไข้มาลาเรีย เชื้อจะอยู่ในตัวยุงประมาณ 10 – 12 วัน เมื่อยุงนั้นไปกัดคนอื่นต่อก็จะปล่อยเชื้อมาลาเรียจากต่อมน้ำลายเข้าสู่คน จึงทำให้คนที่ถูกยุงกัดเป็นไข้มาลาเรียต่อไป
แหล่งระบาดไข้มาลาเรีย
มาลาเรียเป็นโรคในเขตร้อน ซึ่งจะพบมากในทวีปแอฟริกา อเมริกาใต้ เอเซีย และตามหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ในบางประเทศ โดยเฉพาะในแถบแอฟริกาจะพบการติดเชื้อมาลาเรียมาก เนื่องจากเป็นแหล่งโรค ควรต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเดินทางเสมอ เพราะในบางกรณีอาจจำเป็นต้องได้รับยาป้องกันมาลาเรีย
ในประเทศไทยแหล่งระบาดของมาลาเรียอยู่ตามจังหวัดชายแดน โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นภูเขาสูง ป่าทึบ และมีแหล่งน้ำ ลำธาร อันเป็นแหล่งแพร่พันธุ์ของยุงก้นปล่อง จังหวัดที่พบผู้ป่วยมาลาเรียส่วนใหญ่ ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ตาก ตราด ระนอง กาญจนบุรี จันทบุรี สระแก้ว ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี และชุมพร
3 ระยะ โรคไข้มาลาเรีย
- ระยะหนาว : มีอาการหนาวสั่น หนาวจนห่มผ้าไม่อยู่ ตัวเย็น แต่ชีพจรเต้นเร็ว
- ระยะร้อน : ไข้ขึ้นสูง หน้าร้อนแดง ปากแห้ง หายใจถี่
- ระยะเหงื่อออก : มีเหงื่อออกมาก อุณหภูมิร่างกายเริ่มลดลง แต่อ่อนเพลียมาก
อาการไข้มาลาเรีย
โดยทั่วไปอาการเริ่มแรกของไข้มาลาเรียจะเกิดขึ้นหลังจากถูกยุงก้นปล่องที่มีเชื้อกัดประมาณ 10 -14 วัน โดยจะจับไข้ไม่เป็นเวลา ไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้อ อาจมีอาการคลื่นไส้และเบื่ออาหารได้ หลังจากนั้นจะจับไข้เป็นเวลา มีอาการหนาวๆ ร้อนๆ เหงื่อออก ผู้ป่วยจะอ่อนเพลียและเหนื่อย
การตรวจรักษา
เมื่อสงสัยเป็นไช้มาลาเรียให้เข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาล หรือมาลาเรียคลินิกใกล้บ้าน ซึ่งมีขั้นตอนคือการเจาะเลือดหาเชื้อ หากพบเชื้อจะได้รับยา โดยการกินยาต้องกินให้ครบตามแพทย์สั่ง และต้องมาตรวจเลือดซ้ำตามแพทย์นัด
ยาป้องกันมาลาเรียที่มีใช้ในปัจจุบัน
- Doxycycline เป็นยาต้านจุลชีพ และสามารถใช้เพื่อป้องกันมาลาเรีย โดยขนาดที่ใช้เพื่อป้องกันคือ 100 mg วันละ 1 ครั้งโดยต้องกินก่อนที่จะเข้าพื้นที่เสี่ยง 1-2 วัน และกินทุกวันขณะอยู่ในพื้นที่เสี่ยง และเมื่อออกจากพื้นที่เสี่ยงแล้วต้องกินต่ออีก 1 เดือน ผลข้างเคียงจากยาที่พบได้บ่อย คือ คลื่นไส้ ปวดมวนท้อง ยานี้ห้ามใช้ในเด็กต่ำกว่า 8 ปี และหญิงตั้งครรภ์
- Mefloquine ขนาดที่ใช้คือ 1 เม็ด (250 mg) สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง โดยต้องกินล่วงหน้า 2 สัปดาห์ก่อนเข้าพื้นที่เสี่ยง และต้องสัปดาห์ละ 1 เม็ดในขณะอยู่ในพื้นที่เสี่ยง และกินต่ออีก 4 สัปดาห์หลังจากออกจากพื้นที่เสี่ยงแล้ว ผลข้างเคียงของยา Mefloquine ที่สำคัญคือ อาการทางระบบประสาท เช่น นอนไม่หลับ ฝันร้าย ซึมเศร้า เห็นภาพหลอน ปัจจุบันมีที่ใช้น้อยลงเนื่องจากเชื้อมาลาเรียในหลายพื้นที่มีการดื้อยา Mefloquine
- Atovaquone/Proguinil (Malarone®) ยาชนิดนี้เป็นยาผสม 2 ชนิดรวมกันในเม็ดเดียวคือ Atovaquone ขนาด 250mg และ Proguinil ขนาด 100 mg ยาต้นแบบมีชื่อการค้าว่า Malarone® ยาชนิดนี้เป็นยาที่มีประสิทธิภาพดีในการป้องกันมาลาเรีย และมีผลข้างเคียงน้อย ต้องกินก่อนเข้าพื้นที่เสี่ยง 1-2 วันและกินวันละ1 เม็ดขณะอยู่ในพื้นที่เสี่ยง และเมื่อออกจากพื้นที่เสี่ยงแล้วต้องกินต่ออีก 7 วัน2 แต่มีราคาแพงมาก ปัจจุบันยานี้ในประเทศไทยขึ้นทะเบียนเป็นยาควบคุมเฉพาะ ไม่มีใช้ในโรงพยาบาลทั่วไป
การป้องกันไข้มาลาเรีย
- สวมใส่เสื้อผ้าปกคลุมแขนขาให้มิดชิด
- ใช้ยาทากันยุงหรือจุดยากันยุง
- นอนในมุ้งชุบน้ำยาทุกคืน
- ใช้มุ้งชุบน้ำยาคลุมเปลเวลาต้องไปค้างคืนในไร่นาป่าเขา
ทั้งนี้ไข้มาลาเรียเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดได้ ถ้าได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง รวดเร็ว และได้รับการรักษาด้วยยาที่มีประสิทธิภาพ ตรงตามชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุ ไม่ควรซื้อยารักษามาลาเรียกินเอง เพราะอาจจะได้ยาที่ไม่มีคุณภาพ หรือเป็นยาที่ใช้ไม่ได้ผลทำให้มีการดื้อยา หรือกินยาไม่ครบ อาจทำให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา ได้เช่นกัน ซึ่งอาจทำให้เป็นโรครุนแรงขึ้น และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ในรายที่มีอาการรุนแรงแพทย์จำเป็นต้องรับผู้ป่วยไว้ดูแลในโรงพยาบาล