หันหน้าพูดจากัน…วาระสำคัญวันครอบครัว
เชื่อว่าหลายคนต่างกำลังมีความสุขอยู่กับเทศกาล “สงกรานต์” ของไทยในขณะนี้ เพราะไม่เพียงแต่ได้ละเล่นสาดน้ำ ปะแป้งตามประเพณี แต่หลายคนยังได้หยุดพักผ่อนยาวติดต่อกันหลายวัน ไม่ต้องแบกหามภาระหน้าที่การงานไว้ให้หนักอึ้ง และที่สำคัญเทศกาลเปียกน้ำเช่นนี้ ครอบครัวชาวไทยรู้ดีว่าเป็นโอกาสที่ญาติพี่น้องจะได้เดินทางมาพบหน้าค่าตากันครบครัน เพื่อร่วมรดน้ำดำหัวญาติผู้ใหญ่ ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมอันดีงามที่ถือปฏิบัติกันมาช้านาน
แต่ทว่าลูกหลานอีกหลายครอบครัวเช่นกันที่หลงลืมไปว่า เทศกาลปีใหม่ไทยมีประเพณีรดน้ำดำหัวญาติผู้ใหญ่ที่สืบทอดกันมาช้านาน มุ่งแต่จะหาสถานที่ละเล่นปะแป้ง สาดน้ำ โดยไม่ทันได้นึกถึงว่าที่บ้านยังมีพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายที่ร่างกายไม่เอื้ออำนวยให้ออกไปเล่นสนุกสนานกับพวกเด็กๆ รออยู่ที่บ้าน และอาจจะไม่ทราบด้วยซ้ำว่า วันที่ 13 เมษายนของทุกปีถูกกำหนดให้เป็น “วันผู้สูงอายุ” เช่นเดียวกับวันที่ 14 เมษายน ที่ถูกกำหนดให้เป็น “วันครอบครัว”
“ธนากร คมกฤส” รักษาการณ์ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. เปิดเผยว่า ในฐานะคนที่ทำงานด้านครอบครัวรู้ดีว่าการกำหนดวันต่างๆ เป็นคำพูดสวยๆ ว่าวันครอบครัว หรือวันเชิงสัญลักษณ์อื่นๆ เช่น วันเด็ก วันพ่อ วันแม่ เป็นเพียงวันสมมุติเท่านั้น หากแต่การให้ความสำคัญกับครอบครัวต้องเป็น 365 วันตลอดปี หรือทุกวันต้องเป็นวันที่มีความหมายสำหรับครอบรัว แต่การกำหนดวันดังกล่าวก็ถือเป็นการเตือนสติให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของครอบครัวและผู้สูงอายุ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเย็น และเราควรทำเป็นประจำ ซึ่งหลายครอบครัวอาจจะทำเป็นประจำอยู่แล้ว แต่บางครอบครัวก็อาจจะคิดถึงน้อยไปบ้าง เราต้องเอาใจใส่ให้การเหลียวแลอย่างสม่ำเสมอ
“ผมมีอุทาหรณ์ที่อยากแลกเปลี่ยน กรณีที่มีความเดือดร้อนมีภัยพิบัติทั้งที่ญี่ปุ่น และน้ำท่วมภาคใต้ ในยามที่เกิดเหตุวิกฤติขึ้น คนที่เราคิดถึงมากที่สุดคือครอบครัว เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า บางครั้งการใช้ชีวิตประจำวันเราลืมตระหนักถึงครอบครัว เพราะมัวแต่ให้ความสำคัญกับเรื่องงาน เรื่องเรียน และเรื่องส่วนตัว แต่เมื่อเกิดเหตุเราจะคิดถึงครอบครัวก่อน ตามหาครอบครัวก่อน แต่เรากลับลืมให้ความสำคัญกับครอบครัวไป”รักษาการณ์ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะครอบครัวกล่าว
ธนากร แนะวิธีการดูแลเอาใจใส่ และการแสดงออกต่อคนในครอบครัวและผู้สูงอายุที่ง่ายที่สุด คือ การพูดคุยไต่ถาม เพราะสิ่งที่ผู้สูงอายุทต้องการมากที่สุด คือการที่ลูกหลานพูดคุยด้วย เช่น เป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร และต้องเป็นการสื่อสารแบบ 2 ทาง เนื่องจากสมัยนี้เรามักจะเป็นคนพูดเสียเยอะ เป็นผู้ส่งสารกันส่วนใหญ่ แต่ที่ขาดไปคือ ขาดการรับฟัง เราฟังน้อยลง จึงอยากจะเตือนว่าการดูแลเอาใจใส่ ต้องรับฟังด้วย เมื่อถามท่านเป็นการแสดงออกถึงความเอาใจใส่แล้ว ก็ต้องรอฟังด้วยว่าท่านตอบว่าอย่างไร
“ที่ผ่านมาเราไม่ค่อยได้ฟังท่าน และหลงลืมไปว่าผู้สูงอายุร่างกายอ่อนล้าลง เคลื่อนไหวช้าลง แล้วเราได้ฟังท่านแค่ไหน บางครั้งคนหนุ่มสาวจะไปเร็ว อาจจะถูกท่านดุ ถูกว่า ถูกตำหนิ ก็ขอให้เข้าใจท่านว่าท่านเหนื่อย และทำอะไรได้ช้าลงแล้ว ไม่เพียงแต่คนแก่ แต่กับลูกหลานก็ต้องรับฟังด้วยเพราะพ่อแม่หลายคนไม่ฟังลูก เมื่อลูกพูดแล้วไม่ได้รับการตอบสนองก็จะขาดความเข้าใจกัน ดังนั้น การสื่อสารในครอบครัวต้องเป็นการสื่อสาร 2 ทาง ทั้งส่งสารและรับสาร ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดนอกจากกลับไปหาครอบครัว เพราะส่วนใหญ่กลับไปแล้วไปเที่ยวสนุก เฉลิมฉลองกับเพื่อนฝูง ไปมีพื้นที่ส่วนตัวของเรา แต่มิติของครอบครัวกลับต่อไม่ติด” รักษาการณ์ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะครอบครัวกล่าว
สุดท้ายเรื่องที่ ธนากร ขอฝากไว้ในช่วงสงกรานต์คือ ขอให้เล่นสงกรานต์อย่างมี “สติ” และไม่ประมาท…แล้วอย่าลืมไปกราบผู้หลักผู้ใหญ่ของครอบครัวด้วยนะคะ
เรื่องโดย : คีตฌาณ์ ลอยเลิศ Teamcontent www.thaihealth.or.th