สำรอง”เซรุ่มแก้พิษงู” ระวังห้ามใช้ปากดูดแผล

         สาธารณสุขห่วง “งูพิษ” หนีน้ำเข้ามาอยู่ในบ้านประชาชน สั่งโรงพยาบาลสำรองเซรุ่มแก้พิษงู 7 ชนิด เพื่อช่วยชีวิตได้ทันท่วงที เผยสถิติ 10 ปีที่ผ่านมา มีคนถูกงูกัดปีละกว่า 7,000 คน แนะหากถูกงูกัด ห้ามใช้เหล้า ยาสีฟัน หรือสิ่งอื่นๆ ทาแผล พอกแผล และไม่ควรกรีดแผล เนื่องจากจะทำให้พิษงูกระจายเข้าสู่ร่างกายได้เร็วขึ้น ที่สำคัญห้ามเด็ดขาดไม่ควรใช้ปากดูดเลือดจากแผลงูกัด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงต่อผู้ดูดได้


/data/content/24406/cms/e_cdfimnosvw35.jpg


        ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค.57 น.พ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้เข้าสู่ฤดูฝนบางแห่งอาจมีน้ำท่วมขัง ทำให้สัตว์เลื้อยคลานหนีน้ำและอาจจะเข้ามาอยู่ในที่อยู่อาศัยของประชาชนได้ ที่น่าห่วง คือ งูพิษ หากถูกกัดแล้วอาจทำให้เสียชีวิตได้ ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ให้สถานบริการในสังกัด คือ โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลชุมชน สำรองเซรุ่มแก้พิษงูไว้ให้พร้อมตามชนิดงูพิษที่พบบ่อย 7 ชนิด ได้แก่ งูเห่า, งูจงอาง, งูสามเหลี่ยม, งูทับสมิงคลา, งูแมวเซา, งูกะปะ และงูเขียวหางไหม้ เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงทีป้องกันการเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด


        ทั้งนี้ จากการติดตามสถานการณ์งูพิษกัด สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรครายงานมีผู้ถูกงูพิษกัดตลอดทั้งปี ตั้งแต่ปี 2546-2555 เฉลี่ยปีละ 7,723 ราย ปี 2555 มีรายงานผู้ถูกงูกัดสูงสุดในเดือนพฤษภาคม รองลงมาคือ เมษายน และ มิถุนายน ตามลำดับ พบมากในกลุ่มอายุ 55-64 ปี ร้อยละ 88 อยู่ในชนบท โดย 2 ใน 3 ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และรับจ้าง พบมากที่สุดในภาคกลางและตะวันออกเฉียงเหนือ เกือบร้อยละ 50 ถูกกัดในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ประชาชนทำงานในไร่นา หรือเป็นช่วงที่มีน้ำท่วมขังมาก รวมทั้งพบในผู้ที่กรีดยางตอนกลางคืน จึงมีความเสี่ยงต่อการถูกงูกัดสูง


        จังหวัดที่มีอัตราการถูกงูพิษกัดสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนประชากรทุกๆ 1 แสนคน ได้แก่ อันดับ 1 ชัยนาท รองลงมาคือ กระบี่, จันทบุรี, ปราจีนบุรี, นครสวรรค์, ตรัง, สมุทรสงคราม, ฉะเชิงเทรา, อุบลราชธานี และมุกดาหาร ชนิดงูพิษที่กัด ได้แก่ งูเขียวหางไหม้ ร้อยละ 9.66, งูกะปะ ร้อยละ 6.09, งูเห่า ร้อยละ 3.41, งูแมวเซา ร้อยละ 0.59, งูสามเหลี่ยม ร้อยละ 0.01, งูจงอาง ร้อยละ 0.06, อื่นๆ ร้อยละ 80.11


        ด้าน น.พ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในการสังเกตว่างูที่กัดเป็นงูมีพิษหรือไม่นั้น ขอให้ประชาชนดูจากรอยเขี้ยวงู หากเป็นงูพิษ รอยแผลจะมีขนาดเล็กคล้ายถูกเข็มตำ โดยปกติจะมี 2 รอย อยู่คู่กัน อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งอาจจะเห็นเพียงรอยเดียว หากถูกกัดที่ปลายมือ ปลายเท้า ทั้งนี้ พิษของงู ขึ้นอยู่กับชนิดของงู โดยงูที่มีพิษต่อระบบประสาท ได้แก่ งูเห่า, งูจงอาง, งูสามเหลี่ยม, งูทับสมิงคลา เมื่อพิษเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง หนังตาตก กลืนลำบาก พูดไม่ชัด และหยุดหายใจ งูที่มีพิษต่อระบบเลือด ทำให้เลือดออกผิดปกติ ได้แก่ งูแมวเซา, งูกะปะ และงูเขียวหางไหม้ หลังถูกกัด จะมีเลือดซึมออกจากแผลรอยเขี้ยว หรือมีจ้ำเลือดที่บริเวณแผล มีเลือดออกตามไรฟัน บางรายอาจทำให้ไตวายได้ โดยหลังถูกงูพิษกัด ควรทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนถึงมือแพทย์ โดยให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดทั่วไป ให้บีบเลือดออกจากบาดแผลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อช่วยขจัดพิษงูออกจากร่างกาย และโทร.แจ้งหน่วยแพทย์กู้ชีพทางหมายเลข 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือให้รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด


        “พยายามให้อวัยวะที่ถูกกัดอยู่นิ่งไม่เคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด ควรใช้ไม้กระดานหรือกระดาษแข็งๆ รองหรือดามไว้จนกว่าจะถึงโรงพยาบาล เพื่อชะลอพิษงูซึมเข้าสู่ร่างกายช้าลงโดยอาจนำซากงูพิษที่กัดไปให้แพทย์ดูด้วยหากเป็นไปได้ สิ่งที่ไม่ควรทำในการช่วยเหลือผู้ที่ถูกงูพิษกัด คือ 1.ห้ามใช้เหล้า ยาสีฟัน หรือสิ่งอื่นๆ ทาแผล พอกแผล เนื่องจากอาจทำให้แผลติดเชื้อ 2.ไม่ควรกรีดแผล เนื่องจากจะทำให้พิษงูกระจายเข้าสู่ร่างกายได้เร็วขึ้น และ 3.ไม่ควรใช้ปากดูดเลือดจากแผลงูกัด เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงต่อผู้ดูดได้ และ 4.ห้ามให้ผู้ถูกงูกัดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มผสมคาเฟอีน สำหรับการป้องกันงูกัด ควรเก็บกวาดบ้านเรือนที่อยู่อาศัยให้สะอาดหลีกเลี่ยงการเดินในบริเวณที่รกร้าง มีหญ้าขึ้นสูง โดยเฉพาะเวลากลางคืน โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพกรีดยางตอนกลางคืน หรือเช้ามืด ควรสวมรองเท้าบู๊ตยางยาวเหนือเข่า หุ้มกางเกง เพื่อเป็นเกราะป้องกันเขี้ยวงู” น.พ.โสภณ กล่าว


 


 


          ที่มา: เว็บไซต์บ้านเมือง


          ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

Shares:
QR Code :
QR Code