สามีฆ่าตัวตายพุ่ง!ระแวง-รักสามเส้า

 

 

มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดสัมมนา”กลไกและมาตรการเพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัว”เพื่อสร้างความเข้าใจและตระหนักในมิติของความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งเป็นปัญหาสังคมที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วม เพื่อคุ้มครองสิทธิบุคคลในครอบครัว นำมาซึ่งความมั่นคงในสถาบันครอบครัว

ภายในงาน เปิดเผยสถิติความรุนแรงในครอบครัว ปี 2553 จากการนำเสนอข่าวในหนังสือพิมพ์ 5 ฉบับ ได้แก่ ข่าวสด มติชน ไทยรัฐเดลินิวส์ และคมชัดลึก พบว่า ข่าวความรุนแรงในครอบครัวมีมากถึง296 ข่าว แบ่งเป็น ข่าวการฆ่ากันตาย 139 ข่าว คิดเป็นร้อยละ 47 รองลงมาเป็นการฆ่าตัวตาย 72 ข่าว คิดเป็นร้อยละ 24 การทำร้ายกัน 30 ข่าวการตั้งครรภ์ไม่พร้อม 29 ข่าว การละเมิดทางเพศในครอบครัว 18 ข่าว

ในจำนวนนี้มี 63 ข่าว หรือร้อยละ 21 เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความรุนแรง กรณีข่าวฆ่ากันตายในครอบครัว ส่วนใหญ่สามีเป็นผู้กระทำต่อภรรยาเพราะความหึงหวง ที่เลวร้ายคือยังกระทำต่อลูกด้วย ขณะที่กรณีของภรรยาฆ่าสามีนั้นส่วนใหญ่มาจากถูกสามีทำร้ายเป็นประจำ บางรายบังคับหลับนอนด้วย จำนวนนี้มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวกระตุ้นถึงร้อยละ 50

น.ส.นิตยา พิริยะพงษ์พันธ์ หัวหน้าฝ่ายรณรงค์และเผยแพร่ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า หากวิเคราะห์สาเหตุการฆ่าตัวตาย พบว่าสามีจะฆ่าตัวตาย หรือพยายามฆ่าตัวตายมากกว่าภรรยา คือมีถึงร้อยละ 46 ซึ่งเกิดจากปัจจัยต่างๆ อาทิ หย่าร้างกับภรรยา ภรรยาหนีไปมีสามีใหม่หวาดระแวงภรรยา น้อยใจภรรยา ส่วนกรณีภรรยาฆ่าตัวตายนั้น มีร้อยละ 24 เกิดจากน้อยใจสามี เพิ่งเลิกกับสามี หึงหวงสามี และรักสามเส้าส่วนที่เหลือเป็นกรณีลูกฆ่าตัวตายและผู้สูงอายุฆ่าตัวตาย

สำหรับข่าวฆ่ากันตายในครอบครัวที่เกิดขึ้นจากปัญหาความสัมพันธ์ของหญิงชาย ส่วนใหญ่สามีเป็นผู้กระทำต่อภรรยา เพราะความหึงหวง ระแวงว่าภรรยาจะมีคนอื่น คิดว่าภรรยาเป็นสมบัติของตน แม้บางรายจะหย่าร้างไปแล้วและที่เลวร้ายคือนอกจากกระทำต่อภรรยาโดยตรงแล้วยังกระทำต่อลูกด้วย ขณะที่กรณีของภรรยาฆ่าสามีนั้นส่วนใหญ่มาจากถูกสามีทำร้ายทุบตีเป็นประจำ บางรายบังคับหลับนอนด้วย

น.ส.พัชรี จุลหิรัญ ฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า จากการรวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินคดีด้านกฎหมาย ตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 ขณะนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 74 ราย ในจำนวนนี้มีประมาณร้อยละ 15 ที่พนักงานสอบสวนไม่รับแจ้งความและน่าตกใจ เพราะร้อยละ 6 ที่มีการดำเนินคดีนั้น มีผู้เสียหายถึงร้อยละ 94 ยืนยันไม่เอาผิดผู้กระทำ และยังเป็นไปได้ว่าผู้กระทำผิดจะกระทำซ้ำ เนื่องจากไม่ได้เข้าสู่ขั้นตอนการบำบัดเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามที่กฎหมายระบุไว้

นอกจากนี้ยังพบว่าสาเหตุที่พนักงานสอบสวนไม่รับแจ้งความเพื่อดำเนินคดี เนื่องจากยังมีทัศนคติมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว และเจ้าหน้าที่ตำรวจบางรายยังไม่รู้ว่ามีพ.ร.บ.คุ้มครองฯ ขณะที่ร้อยละ 33 ประชาชนยังเข้าใจผิดคิดว่าการลงบันทึกประจำวันเป็นการแจ้งความแล้ว ซึ่งเรื่องนี้จะไม่มีผลต่อการดำเนินคดีเพราะหากผู้เสียหายไม่ยืนยันเพื่อดำเนินคดีและออกเลขที่กำกับ จะทำให้คดีหมดอายุความภายใน 3 เดือน

ด้านนายอดิศร กุลแสง ผู้ชายต้นแบบ เครือข่ายชุมชนกรุงเทพมหานคร ลด ละ เลิก เหล้าลดความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กเล่าถึงประสบการณ์การดื่มเหล้าให้ฟังว่า ตนดื่มเหล้ามาตั้งแต่อายุ 17 ปี และดื่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ดื่มแทบทุกวัน เมื่อมีครอบครัวก็ไม่เคยนำเงินที่หามาได้มาจุนเจือครอบครัวเลย เพราะนำไปดื่มเหล้าจนหมด หนำซ้ำยังรีดไถเงินจากภรรยา หากภรรยาไม่มีเงินให้ก็จะทำร้ายร่างกายและอาละวาดอย่างหนัก เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องควบคุมตัวไปโรงพักเพื่อสงบสติอารมณ์

“เมื่อดื่มเหล้ามากๆ ทำให้ต้องล้มป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองแตกจนเป็นอัมพฤกษ์ สุดท้ายคนที่ดูแลเรายามเจ็บป่วยก็คือภรรยาที่เราเคยทำร้าย ทำให้เกิดความละอายใจและรู้สึกผิดต่อภรรยาเป็นอย่างมาก จากนั้นจึงตั้งใจเลิกเหล้าเด็ดขาด” นายอดิศร กล่าว

 

         

ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด  

Shares:
QR Code :
QR Code