‘สังคมสีเขียว’ ในความฝัน
จากรายงานของ UN HABITAT ในปี 2555 พบว่าในปัจจุบันอัตรา ส่วนของประชากรทั่วโลกที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองมีอัตราสูงกว่าในเขตชนบทเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ พร้อมกับคาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
กรุงเทพมหานคร คือเมืองใหญ่ของโลกที่ผู้คนจากเขตชนบทอพยพมาใช้ชีวิตไม่ต่างจากมหานครทั่วโลก นโยบายการสร้างรถไฟฟ้าของรัฐบาล เพื่อการคมนาคม ทำให้สไตล์การอยู่อาศัยในคอนโดฯ ได้รับความนิยมมากขึ้นโดยเฉพาะในแนวเขตสถานีรถไฟฟ้า ส่งผลให้ราคาที่ดินในเขตเมืองแพงลิ่ว พื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อจะสร้างสวนสาธารณะหาได้ยากมากขึ้น ขณะเดียวกันสวนสาธารณะในกรุงเทพฯ กระจายตัวอยู่ในพื้นที่นอกเมืองมากกว่า เช่น มีนบุรี หนองจอก
ส่วนพื้นที่ย่านฝั่งธนฯ กรุงเทพฯ ชั้นในมีอยู่น้อยมาก ปัจจุบันมีอยู่เพียง 500 ตารางเมตร ทำให้สัดส่วนพื้นที่สีเขียวของคนกรุงเทพฯ รั้งอันดับสุดท้ายในเอเชีย ตัวอย่างเช่น เมืองกวางโจว มีพื้นที่สีเขียว 166.3 ตารางเมตรต่อคน นานกิง 108.4 ตารางเมตร ฮ่องกง 105.3 ตารางเมตร ไทเป 49.6 ตารางเมตร สิงคโปร์ 66.2 ตารางเมตร
“สัดส่วนพื่นที่สีเขียวต่อคนกรุงเทพฯ ต่ำมาก 3.3 ตารางเมตรต่อคน เทียบกับมหานครอื่น กรุงโซล 23 ตารางเมตรต่อคน เมืองฮานอยที่กำลังพัฒนาพื้นที่สีเขียวให้ได้ 11 ตารางเมตรต่อคน ไปแล้วประทับใจมาก มีสวนกระจายหลายระดับตั้งแต่สวนหัวมุมถนนถึงที่มีน้ำ กรุงเทพฯ ชนะอยู่เมืองเดียว คือ กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย ด้วยความที่ประชากรหนาแน่นมาก 2.9 ตารางเมตร ต่อคน” ดร.นิรมล กุลศรีสมบัติ หัวหน้าศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง หรือ UDDC (Urban Design &Development Center ทำหน้าที่เป็นศูนย์ที่ปรึกษาด้านการออกแบบและการวางผังการพัฒนาฟื้นฟูเมือง สนับสนุนโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส.) ให้ภาพคร่าว ๆ ของมหานครในโลกที่ให้ความสำคัญต่อพื้นที่สีเขียว
ตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก คนหนึ่งคนควรจะมีพื้นที่สีเขียวประมาณ 9 ตารางเมตร และควรมีสวนสาธารณะเฉลี่ยคิดเป็นพื้นที่คนละ 15 ตารางเมตร การเวนคืนที่ดินผืนใหญ่เพื่อมาทำสวนสาธารณะเป็นเรื่องยากมา แต่ ในมุมมองของนักพัฒนาเมืองบอกว่ากรุงเทพฯ มีทางออกของการสร้างพื้น ที่สีเขียว หากลบนิยามว่าพื้นที่สีเขียวหมายถึงสวนสาธารณะ ดังที่ผู้ว่าฯ กทม.คนปัจจุบัน เคยประกาศนโยบายการเพิ่มสวนสาธารณะให้คนกรุงเทพฯ แต่ไม่ระบุพิกัดว่าจุดนั้น คาดการณ์กันว่าอาจต้องไปสร้างในพื้นที่ชั้นนอก เขตพื้นที่ตะวันออก ย่านหนองจอก มีนบุรี ที่มีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอ แต่นั่นไม่ตอบโจทย์ด้านความต้องการของคนที่อยู่อาศัย เพราะปัจจุบันเทรนด์คนอาศัยอยู่ในเมืองมากขึ้น
ในปี พ.ศ. 2563 ประเทศไทยจะมีประชากรผู้สูงอายุมากกว่าประชากรเด็ก (0-14 ปี) เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ นั่นหมายถึงสังคมไทยกำลังจะเริ่มสู่สังคมผู้สูงวัย ดังนั้นการสร้างพื้นที่สีเขียวต้องวางแผนถึงคนกลุ่มนี้ด้วย คนแก่ไม่สะดวกที่จะนั่งรถไปออกกำลังกายที่สวนลุม หรือสวนสาธารณะอื่น ๆ ดังนั้นแนวทางการพัฒนาพื้นที่สีเขียวเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตของคนเมือง นักออกแบบเมืองเสนอว่ารัศมี 1 กม. ควรมีพื้นที่สีเขียว ดังนั้นการสร้างพื้นที่สีเขียวในมหานครกรุงเทพฯ นั้น จึงต้องหยิบจับพื้นที่รกร้างทั้งหลายทั้งของภาครัฐและเอกชนมาสังคายนา
หัวหน้าศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง บอกว่าจากการสำรวจพื้นที่ของศูนย์ออกแบบฯพบว่า กรุงเทพฯ มีพื้นที่ปราศจากการใช้ประโยชน์ 1,500 ตาราง กม. สามารถสร้างสวนลุมได้ 400 แห่ง อาทิ พื้นที่ใต้ทางด่วน ที่อยู่ภายใต้การดูแลของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย โทลล์เวย์ พื้นที่ของเอกชนทั้งหลาย โดยเฉพาะพื้นที่ใต้ทางด่วนมีมากถึง 1,500 ไร่ สาเหตุที่กลายเป็นที่ว่างเปล่าคือการติดข้อกฎหมายของรัฐเองที่กำหนดว่าเมื่อเวนคืนที่ดินไปแล้ว จะนำไปพัฒนาในเชิงพาณิชย์ไม่ได้ แม้กระทั่งหน่วยงานรัฐก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้เช่นกัน กลุ่มคนที่โชคร้ายคือชุมชนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น เพราะพื้นที่กลายเป็นที่ทิ้งขยะ ที่มั่วสุมเท่ากับว่าข้างบนรถวิ่งแต่คนข้างล่างต้องทนอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม
แนวทางพื้นที่สีเขียวใน กทม.จึงต้องเบนเข็มไปในทิศทางการพัฒนาพื้นที่ในระดับ เอส เอ็ม แอล นำพื้นที่เล็ก กลาง ใหญ่มาพัฒนาให้เป็นสวนหย่อม สวนสาธารณะขนาดเล็ก หรือพื้นที่สร้างสรรค์อื่น ๆ ทั้ง ทางเดิน เส้นทางจักรยาน และพื้นที่ลานโล่ง ตัวอย่างเช่น มีพื้นที่สีเขียวเช่น สวนสมเด็จย่าในเขตคลองสาน มีต้นไม้ใหญ่ ร่มรื่น กลายเป็นพื้นที่ตาบอดเพราะรายล้อมไปด้วยชุมชน มีพื้นที่รกร้างของเอกชน การเดินทางเข้าออกลำบาก หน้าที่ของรัฐต้องควรทำเส้นทางเชื่อมต่อกัน ทะลุถึงกันได้
ดร.นิรมล บอกว่าพื้นที่ในเมืองหลายแห่งขณะนี้มีศักยภาพที่จะทำเป็นพื้นที่สีเขียว และพื้นที่เชิงสร้างสรรค์มาก เช่น ในย่านอุรุพงษ์ บริเวณนี้เต็มไปด้วยหอพักจำนวนมาก สามารถสร้างทางจักรยานได้ประมาณ 3 ไมล์ อาจตั้งชื่อว่า แบงค็อกทรีมาย ให้คนเดินได้ไปจนถึงสถานีรถไฟฟ้า และสิ่งที่จะตามมาคือโอกาสทางการค้าขายของชุมชนบริเวณนั้น ปัญหาอาชญากรรมจะลดน้อยลงเพราะมีคนสัญจรมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในอนาคตโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง สถานีรถไฟจะไปตั้งต้นที่บางซื่อ พื้นที่หัวลำโพงวางแผนที่จะทำเป็นพิพิธภัณฑ์ แต่มองว่าพื้นที่สองข้างรถไฟบริเวณหัวลำโพงที่มีอยู่ประมาณ 7 กม. สามารถนำมาสร้างเป็นเส้นทางกรีนไลน์ได้ แทนที่จะปล่อยให้ทิ้งร้างไว้ มีตัวอย่างที่นิวยอร์กถนนไฮเวย์ที่ไม่ใช้งาน นำมาสร้างเป็นสวนลอยฟ้า
“ถ้ากรุงเทพฯ ทำสำเร็จเมืองอื่นในประเทศไทยก็ทำตาม” หัวหน้าศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง มองถึงภาพการเปลี่ยนแปลงพลวัตสังคมสีเขียวของประเทศไทยในอนาคต”
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์