สร้างองค์กรด้วยความสุขและการให้

ปัจจุบันหลายองค์กรให้ความสำคัญกับดัชนีชี้วัดความสุข คำว่า "Happy Workplace" จึงกลายเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของผู้บริหาร เพื่อให้คนขององค์กรไม่เพียงแต่เป็นคนเก่งและคนดี แต่ต้องมีความสุขด้วย โดยมีการทำแบบประเมินความสุขของคนในองค์กร เพื่อหาแนวทางแก้ไขภาวะไร้สุขให้มีความสุขมากขึ้น


สร้างองค์กรด้วยความสุขและการให้ thaihealth


วันที่ 20 มีนาคมของทุกปี องค์การสหประชาชาติ (UN) จึงกำหนดให้เป็นวันความสุขสากล (The International Day of Happiness) สำหรับประเทศไทยก็มีกรมสุขภาพจิตมีบทบาทในการประเมินความสุขของคนไทยในแต่ละปี


สิ่งที่น่าสนใจ คือ ในแบบสอบถามเพื่อประเมินความสุข จะมีคำถามในเรื่องความสุขจากการช่วยเหลือ ผู้อื่น และความรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเองอยู่ด้วย ซึ่งสอดคล้องกับที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กำหนดไว้ในความสุข 8 ประการของคนทำงาน 2 ประเด็น คือ Happy Heart และ Happy Society นั่นแสดงให้เห็นว่า การทำ CSR มีนัยสำคัญอย่างยิ่งกับการสร้างความสุขในองค์กร


โดยหลายองค์กรค้นพบคุณค่าของ CSR ในเรื่องนี้


ในบทความ "Hard-Wired for Giving" จากเว็บไซต์ของ The Wall Street Journal กล่าวถึงการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจว่า ความเมตตา กรุณา หรือการเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของผู้อื่นมากกว่าส่วนตน (Altruistic) สมองจะหลั่งสารความสุข ด้วยการใช้เครื่องมือ ที่เรียกว่า fMRI (Functional Magnetic Resonance Imaging) ใช้ในการวัดการทำงานของสมอง


"Brady Josepson" ผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์เกี่ยวกับการให้ขององค์กร ให้ข้อเสนอแนะแนวทางสร้างความสุขในองค์กรให้มากขึ้นไว้ใน Bog ของเขาในหัวข้อ "Want to be happier ? Give More. Give Better" ดังนี้


หนึ่ง ทำโครงการที่เฉพาะเจาะจงและจับต้องได้ จะทำให้คนทำงานรู้สึกอิ่มใจกับการทำประโยชน์ที่เห็นผลอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้น ความชัดเจนต้องเริ่มที่การกำหนดวัตถุประสงค์ การเลือกกลุ่มเป้าหมาย การกำหนดแผนการดำเนินการ วิธีการวัดผล การทำโครงการในลักษณะนี้มักจะได้ผลเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้


สอง ให้ไม่ต้องมาก แต่ให้บ่อยครั้ง การทำโครงการใหญ่ปีละครั้งใช้งบประมาณมาก ๆ อาจไม่เป็นประโยชน์อะไรกับองค์กร เพราะการสร้างอุปนิสัยหรือทัศนคตินั้นต้องเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ การเรียนรู้และการสร้างองค์กรด้วยความสุขและการให้ thaihealthเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นได้


สาม ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน การให้โดยมีการคาดหวัง ผลที่กลับมาสู่ตนเองจะเป็นการจำกัดความรู้สึกอิ่มใจโดยปริยาย เพราะไม่ต่างอะไรจากการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ องค์กรที่กำหนดวัตถุประสงค์ในเชิงนี้จะคาดหวังว่ากิจกรรม CSR จะช่วยในการปรับพฤติกรรมให้คนในองค์กรเป็นคนดีมีความสุขก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเพียงแค่วัตถุประสงค์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีงามให้กับองค์กร อาจทำให้คนในองค์กรมีพฤติกรรม "สร้างภาพ" ซึ่งไม่น่าจะเป็นผลดีกับองค์กร


ดังนั้น ควรยึดถือในหลัก "การเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของผู้อื่นมากกว่าส่วนตน" เพื่อร่วมสร้างสังคมที่ดีงาม องค์กรเองย่อมได้รับความดีงามนั้นตอบแทนกลับมาในที่สุด โดยเฉพาะการมีคนดีอยู่ในองค์กรนั่นเอง


สี่ ให้กับผู้ที่มีข้อมูลและเรื่องราวที่รับรู้ได้ชัดเจน ผลจากการให้จะสร้างความปีติและบ่มเพาะหัวใจที่เอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ให้เกิดขึ้นจากการเห็นปัญหาด้วยตนเอง ฉะนั้น องค์กรอาจเลือกทำกิจกรรม CSR กับองค์กรพันธมิตรที่ทำงานด้านสังคม ซึ่งมีข้อมูลและวิธีการดำเนินการที่เป็นมืออาชีพ ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับคนที่จะได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งทำให้รู้ว่าจะให้อะไรที่ตรงต่อความต้องการของผู้รับ


สุดท้ายห้า ให้สังคมร่วมรับรู้ เพราะนอกจากจะทำให้คนทำดีจะรู้สึกภาคภูมิใจแล้ว ยังสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่น ๆ ในสังคมเห็นความสำคัญของการให้อีกด้วย ในความเป็นองค์กรก็เช่นกัน ความภาคภูมิใจในองค์กรจะสร้างความรู้สึกผูกพัน (Engagement) ให้เกิดขึ้นโดยปริยาย


จากข้อมูลของ The Charities Aid Foundation ที่จัดทำรายงาน The World Giving Index (WGI) เป็นประจำทุกปี ข้อมูลของ WGI มาจากการสัมภาษณ์ประชาชนทุกระดับในประเทศนั้น ๆ โดยมีกรอบคำถามหลัก ๆ 3 เรื่อง คือ การบริจาคเพื่อองค์กร, การเป็นอาสาสมัคร และการช่วยเหลือคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก


ปรากฏว่าประเทศที่ได้รับการจัดลำดับเป็นที่ 1 ของประเทศที่มีการให้มากที่สุดในปี ค.ศ. 2014 ที่ผ่านมา คือ สหภาพพม่า รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ไอซ์แลนด์ และนิวซีแลนด์ ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศไม่ได้บ่งชี้ว่า ประเทศที่มีประชาชนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีจะมีการให้ที่มาก กว่าประเทศที่ยากจน เพราะการให้เป็นเรื่องของความศรัทธาล้วน ๆ


ดังนั้น จากที่เคยมีคำถามว่า องค์กรหรือบริษัทเล็ก ๆ จะทำ CSR ได้หรือไม่ เพราะมีงบประมาณจำกัด คงได้คำตอบแล้ว และที่จริงการทำ CSR สามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้เงินเลย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่เลือก


ผู้เขียนเคยสัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัทเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งมีวิธีการสร้างให้คนในองค์กรเป็นผู้ให้อย่างน่าสนใจ นอกจากการไปทำกิจกรรมการให้กับสังคมภายนอกแล้ว ภายในองค์กรหลาย ๆ กิจกรรมก็มีเป้าหมายไปที่การทำให้คนในองค์กรคิดถึงความสุขของผู้อื่นก่อนตนเอง เช่น ในมื้ออาหารกลางวัน ที่บริษัทจัดบริการข้าวฟรี โดยพนักงานจะนำกับข้าวมาเองนั้น มีการกำหนดให้หนึ่งวันในแต่ละสัปดาห์จะเป็นวัน "ของโปรดของเพื่อน" คือแต่ละคนเตรียมอาหารที่เพื่อนคนหนึ่งชอบมาทานร่วมกัน ซึ่งทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุขอย่างง่าย ๆ แต่งดงาม


ลองหันมาพิจารณาการสร้างความสุขในองค์กรด้วยการสร้างความเป็นผู้ให้ ซึ่งอาจเห็นว่างามกว่าและง่ายกว่าการมุ่งตอบสนองความต้องการของพนักงานเพียงด้านเดียว ดังที่ผ่านมาอย่างนึกไม่ถึงเลยทีเดียว


 


 


ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ


ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

Shares:
QR Code :
QR Code