สคส.จัดประชาพิจารณ์เร่งผลักดัน พ.ร.บ.อนามัยการเจริญพันธุ์

ช่วยลดปัญหาเรื่องเพศของสังคม

สคส.จัดประชาพิจารณ์เร่งผลักดัน พ.ร.บ.อนามัยการเจริญพันธุ์

 

          เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2553 ที่โรงแรมทีเค พาเลซ กทม. มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง(สคส.) ร่วมกับกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) จัดเวทีประชาพิจารณ์ร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)คุ้มครองอนามัยการเจริญพันธุ์ เพื่อระดมความเห็นว่าควรแก้ไขหรือเพิ่มเติมมาตราใด

 

          โดยมีผู้เข้าร่วมจำนวน 250 คน จากองค์กรต่างๆที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข เครือข่ายผู้ปกครอง เครือข่ายทำงานด้านสิทธิสตรี เด็กและเยาวชน เนื่องจากมองเห็นว่า สิทธิอนามัยการเจริญพันธุ์เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ทุกกลุ่มวัยควรได้รับความคุ้มครองเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายอนามัยเจริญพันธุ์ที่ว่า คนไทยทุกเพศทุกวัยจะต้องมีอนามัยการเจริญพันธุ์ที่ดีและเพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างประเทศที่รัฐบาลไทยได้ร่วมเป็นสมาชิกภาคีโลก รวมทั้งเพื่อเป็นการรับรองสิทธิของประชาชน ช่วยลดปัญหาเรื่องเพศของสังคม ทั้งแม่วัยรุ่น การระบาดของเชื้อเอดส์ และความรุนแรงทางเพศ พร้อมเตรียมผลักดันเป็น พ.ร.บ.ให้ได้ภายในสิ้นปีนี้

 

          น.ส.ณัฐยา บุญภักดี ผู้จัดการมูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง กล่าวว่า จุดเด่นของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้คือ จะช่วยลดปัญหาเรื่องเพศของสังคม ทั้งแม่วัยรุ่นที่มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยในปี 2551 มีแม่วัยรุ่น ร้อยละ 15.55 จากเดิม ร้อยละ 13.92 ในปี 2547 ลดการแพร่ระบาดของเชื้อเอดส์ และความรุนแรงทางเพศ แต่ข้อเสียคือ ยังเป็นเรื่องยากที่สังคมอาจเปิดใจยอมรับเรื่องนี้ เพราะยังมีความกังวลและกลัวว่าจะเป็นการชี้โพรงให้กระรอก ฉะนั้นคณะกรรมการยกร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จึงได้ทำการศึกษาวิจัยอย่างรอบคอบจากหลายประเทศทั่วโลกพบว่าการจัดให้มีข้อมูลข่าวสารเรื่องเพศของแต่ละวัยจะช่วยลดปัญหาความไม่รู้ และการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยได้

 

           กรณีที่สถานศึกษามีเด็กวัยรุ่นตั้งครรภ์ พ.ร.บ.ฉบับนี้ก็จะคุ้มครองให้ได้ศึกษาต่อพร้อมเพื่อน เท่ากับว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้สิทธินักเรียนตั้งครรภ์เรียนได้ เพราะในมาตรา 12 เขียนไว้ชัดเจนว่ากรณีสถานศึกษามีหญิงตั้งครรภ์นั้นอยู่ระหว่างศึกษาผู้บริหารสถานศึกษาต้องอนุญาตให้หญิงมีครรภ์ศึกษาต่อในระหว่างตั้งครรภ์และกลับไปศึกษาต่อภายหลังคลอดบุตรแล้ว ซึ่งหมายความว่าให้หญิงตั้งครรภ์มาเรียนได้ตามปกติ เพราะถ้าให้เด็กออกจากโรงเรียน จากการวิจัยพบว่าจะมีโอกาสน้อยที่เด็กจะกลับมาเรียนต่ออีก การที่คณะกรรมการยกร่าง พ.ร.บ.เขียนไว้เพื่อคุ้มครองสิทธิการศึกษาของหญิงตั้งครรภ์ เพื่อทำให้สังคมเปลี่ยนมุมมองต่อปัญหาท้องในวัยเรียนและช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา เนื่องจากหากวัยรุ่นไม่มีการศึกษาเด็กที่เกิดมาก็จะย้อนเป็นปัญหาสังคมเช่นเดิมน.ส.ณัฐยา กล่าว

 

          น.พ.กิตติพงศ์ แซ่เจ็ง ผู้อำนวยการสำนักอนามัยเจริญพันธุ์ กล่าวว่า เจตนารมณ์ของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เพื่อต้องการให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยมีการเจริญพันธุ์ที่ดี เพราะสุขภาพด้านนี้เป็นเรื่องสำคัญและมีความสลับซับซ้อนจึงต้องมีการคุ้มครองสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์และโครงสร้างกระบวนการรองรับที่เหมาะสมตามที่รัฐบาลไทยได้ไปได้ทำข้อตกลงระหว่างประเทศที่ได้ร่วมเป็นสมาชิกภาคีโลก ได้แก่ การประชุมระหว่างประเทศเรื่องประชากรกับการพัฒนา อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบ การประชุมสตรีโลกที่กรุงปักกิ่ง การร่วมลงนามรับรองเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ 8 ข้อ เมื่อปี 2543 กอปรกับรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 303 วรรคหนึ่ง (1) กำหนดให้รัฐบาลต้องจัดทำกฎหมายในเรื่องสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา

 

           ดังนั้น จึงควรมีกฎหมายคุ้มครองอนามัยเจริญพันธุ์เพื่อวางกรอบและแนวทางในการคุ้มครองสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ การกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่องโดยมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายอันจะนำสู่เป้าหมายอนามัยเจริญพันธุ์ของประชาชนทุกกลุ่มวัย ซึ่งการที่ประชาชนจะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารเรื่องอนามัยเจริญพันธุ์ที่ถูกต้องก็ต้องมี พ.ร.บ.นี้เกิดขึ้น และเรื่องเด็กตั้งครรภ์ระหว่างเรียนผู้บริหารสถานศึกษาต้องจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสม ไม่ใช่ลงโทษเด็กเพราะเท่ากับเป็นการซ้ำเติมเด็ก จึงควรให้โอกาสแม่วัยรุ่นได้ศึกษาต่อเพื่ออนาคตที่ดีน.พ.กิตติพงษ์ กล่าว

สคส.จัดประชาพิจารณ์เร่งผลักดัน พ.ร.บ.อนามัยการเจริญพันธุ์

 

          ดร.นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิอนามัยการเจริญพันธุ์นี้ได้มีการปรับปรุงใหม่ในปี 2552 ซึ่งเนื้อหาจะเป็นการคุ้มครองสิทธิอนามัยการเจริญพันธุ์ที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกเพศทุกวัย เพื่อให้มีการรับรู้การเข้าถึงการบริการด้านการศึกษา และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการวางแผนการมีเพศสัมพันธ์ การติดเชื้อ การตั้งครรภ์ รวมถึงสถานศึกษาต้องมีการอบรมบุคลากรให้มากขึ้นเพื่อให้ความรู้แก่เด็กแต่ละวัย ซึ่งครูและโรงเรียนต้องจัดหน่วยสื่อสารให้เด็กแต่ละวัยด้วย นอกจากนี้หน่วยสาธารณสุขทั่วประเทศต้องมีจุดบริการเพื่อให้คำปรึกษาให้ประชาชนได้เข้าถึงง่ายขึ้น ซึ่งหลังจากการจัดประชาพิจารณ์ครั้งนี้ก็จะมีการนำเข้าคณะอนุกรรมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิอนามัยการเจริญพันธุ์ จากนั้นจะมีการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำเสนอคณะกรรมการคุ้มครองสิทธิอนามัยการเจริญพันธุ์ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานเพื่อเสนอต่อไปยังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ไปกฤษฎีกา ส่งไปที่สภา ซึ่งคาดว่าระยะเวลาจะอยู่ที่ประมาณ 1 เดือน จึงต้องการให้หลายฝ่ายช่วยกันผลักดันด้วย

 

           การมี พ.ร.บ.อนามัยการเจริญพันธุ์ที่หลายส่วนยังมีความเป็นห่วงที่ว่าอาจเป็นการส่งเสริมให้เด็กท้องวัยเรียนเพิ่มขึ้นนั้นไม่เป็นความจริง เพราะ พ.ร.บ.ฉบับนี้เน้นในเรื่องการป้องกันให้รู้ถึงโทษการตั้งครรภ์ที่ไม่เหมาะสม เพราะปัญหาเด็กตั้งครรภ์ในวัยเรียนต้องมีการทำแท้งที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิต มดลูกเน่าและอาจเป็นหมัน ซึ่งปัญหาหลายอย่างก็จะตามมา และเด็กเองก็จะไม่เลียนแบบเพราะได้รู้ถึงโทษที่ตามมาด้วย และปัจจุบันพบว่าเด็กตั้งครรภ์อายุต่ำกว่า 15 ปี มีถึง 1.1% อยู่ที่ประมาณ 10,000 คนต่อปี ทุกภาคส่วนจึงต้องช่วยกันเร่งผลักดันและหาทางให้เกิดกฎหมายนี้ขึ้นโดยเร็วเพื่อช่วยลดปัญหาทางเพศเหล่านี้ดร.นพ.สมยศ กล่าว

 

          นางกรรณิการ์ บรรเทิงจิตร รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า เวทีสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นเป็นกระบวนการที่ให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องได้ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเรียนรู้อย่างสมานฉันท์ เพื่อนำไปสู่การเสนอนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม โดยจัดให้มีการประชุมอย่างเป็นระบบและทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม โดยใช้ประเด็นเป็นตัวตั้งในการดำเนินการ ซึ่งมีทั้งกลุ่มเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายนี้ ซึ่งการใช้สมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นเพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หาทางออกให้ได้ข้อสรุปร่วมกัน โดยยึดหลักฉันทามติที่ทุกฝ่ายเห็นร่วมกัน ไม่ใช้การโหวตเสียงเอาชนะ

 

           ขณะนี้กรมอนามัยได้มีการยกร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองอนามัยการเจริญพันธุ์ พ.ศ. …พร้อมเปิดเวทีประชาพิจารณ์ ซึ่ง พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่เฉพาะผู้หญิงหรือหญิงตั้งครรภ์เท่านั้นที่จะได้รับความคุ้มครองสิทธิ แต่รวมถึงทุกเพศวัยเพราะงานอนามัยการเจริญพันธุ์มีขอบเขตกว้างขวางตั้งแต่ก่อนเกิดจนถึงสูงวัย และกำลังเผชิญกับสถานการณ์เด็กเกิดน้อยด้อยคุณภาพ ที่พบชัดเจนคือแม่ที่อยู่ในวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่ควรอยู่ในระบบการศึกษาเพื่อพัฒนาเป็นผู้รับภาระที่มีคุณภาพของประเทศ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองอนามัยการเจริญพันธุ์ ที่ต้องร่วมกันพิจารณาครั้งนี้มีด้วยกัน 29 มาตรา ซึ่งคุ้มครองบุคคลให้มีสิทธิอนามัยการเจริญพันธุ์ สิทธิทางเพศ สิทธิเข้าถึง ได้รับข้อมูลข่าวสาร รับการปรึกษาและบริการด้านอนามัยการเจริญพันธุ์จากสถานบริการสาธารณสุขอย่างเหมาะสมมีคุณภาพและมีมาตรฐาน โดยข้อพึงปฏิบัติของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนางกรรณิการ์ กล่าว

 

 

 

 

 

 

ที่มา : สำนักข่าว สสส.

 

 

 

Update: 16-08-53

อัพเดตเนื้อหาโดย: คมสัน ไชยองค์การ

 

 

 

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code