ลุยแผนดูแลสุขภาพคนไทยตั้งเป้าอายุเฉลี่ย 80 ปี
ที่มา : www.banmuang.co.th
แฟ้มภาพ
สธ. ลุยแผนดูแลสุขภาพคนไทยตั้งเป้าอายุเฉลี่ย 80 ปี แนะปรับลดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ลดการกินอาหารหวาน มัน เค็ม ลดการสูบบุหรี่ การดื่มสุรา และเพิ่มพฤติกรรมสุขภาพ
น.พ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางมาเป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง หรือเทียบเท่าที่กระทรวงสาธารณสุข ว่า ที่ประชุม สธ.ได้นำเสนอผลงานและแผนการดำเนินงานที่อยากให้นายกฯ สนับสนุน หลายประเด็น คือ 1.การนำเสนอแผนงานระยะ 5 ปี และระยะ 20 ปี โดยในแผน 5 ปี ได้นำเสนอในเรื่องการทำให้คนไทยมีอายุยืนยาว มีอายุเฉลี่ย 80 ปี ขึ้นไป โดยจะเร่งลดโรคภัยไข้เจ็บลง โดยเฉพาะโรคที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง และอุบัติเหตุ เป็นต้น โดยจะต้องปรับลดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ลดการกินอาหารหวาน มัน เค็ม ลดการสูบบุหรี่ การดื่มสุรา และเพิ่มพฤติกรรมสุขภาพ เช่น การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ นอกจากนี้ ยังนำเสนอผลงานการบูรณาการร่วมกับกระทรวงอื่น เช่น กระทรวงศึกษาธิการ ในเรื่องของการดูแลเด็กปฐมวัย และการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ เป็นต้น
น.พ.โสภณ กล่าวว่า 2.การสนับสนุนคลินิกหมอครอบครัว ซึ่งจะเริ่มขับเคลื่อนในปี 2560 แต่ไม่ได้มีการตั้งงบประมาณไว้ จึงจะของบประมาณไว้ จึงต้องมีการของบประมาณจากนายกฯ เพื่อพัฒนาระบบ โดยขออยู่ที่ 150 บาทต่อหัวประชากร ทีมหมอครอบครัวที่ดูแล รวมแล้วประมาณ 850 ล้านบาท 3.เรื่องกำลังคน พบว่า วิชาชีพพยาบาลมีความขาดแคลน ซึ่งนายกฯ ก็ให้เสนอแผนขึ้นไป โดยต้องพิจารณาเรื่องค่าใช้จ่าย และวิธีการจ้างแบบอื่นที่ไม่ใช่การบรรจุข้าราชการ รวมถึงการร่วมกับเอกชนในการผลิตเพิ่ม เพื่อให้ไปอยู่ในพื้นที่ที่ขาดแคลน แต่จะต้องเป็นวิธีการจ้างแบบมีเงื่อนไข ซึ่งคาดว่าจะมีการขอประมาณ 11,000 ตำแหน่ง
“นายกฯ ได้เน้นย้ำให้ สธ.ช่วยดูแลด้านเศรษฐกิจด้วย อย่างสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ต้องไม่เจอปัญหาคอขวด ในการขึ้นทะเบียนล่าช้า หรือเรื่องของพัฒนาสมุนไพร และเครื่องมือแพทย์ เพื่อช่วยประหยัดงบประมาณและเพิ่มรายรับเข้าประเทศ เป็นต้น ซึ่งในส่วนของปัญหาการขึ้นทะเบียนล่าช้า เกิดจากปัญหาผู้เชี่ยวชาญมาอ่านค่าคุณภาพและความปลอดภัยของยามีจำนวนน้อย และมีค่าตอบแทนน้อย ซึ่งตามกฎหมายให้เก็บค่าขึ้นทะเบียนเพียง 2,000 บาท แต่หากอยากให้ผู้เชี่ยวชาญมาอ่านค่าคุณภาพและความปลอดภัยของยาอย่างรวดเร็วก็ต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูง จึงเสนอให้มีการใช้มาตรา 44 ในการแก้ไขข้อติดขัดทางด้านกฎหมาย เพื่อจ่ายค่าตอบแทนผู้เชี่ยวชาญได้มากขึ้น ก็จะช่วยให้ขึ้นทะเบียนยาได้รวดเร็วขึ้น” ปลัด สธ. กล่าว