พบนักเรียนไทยมีปัญหาทางอารมณ์ถึง 2 ล้านคน
สธ.เผยนักเรียนไทยกว่า 10 ล้านคน มีปัญหาพฤติกรรมทางอารมณ์มากถึง 2 ล้านคน จำเป็นต้องได้รับการดูแล โครงการ “1 โรงพยาบาล 1 โรงเรียน” ช่วยแก้ปัญหาได้ พบดำเนินการ 3 ปี ดูแลนักเรียนประสบความสำเร็จถึง 5 เรื่อง ชี้ชัดเพราะมี “นักจิตวิทยาโรงเรียน” เป็นตัวเชื่อม ช่วยเด็กไม่โดดเดี่ยว
เมื่อวันที่ 24 ต.ค. ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ กทม. นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวเปิดสัมมนาสรุปโครงการพัฒนาเครือข่ายระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง สธ.กับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพื่อพัฒนารูปแบบความร่วมมือการดูแลแก้ปัญหาสุขภาพนักเรียนในพื้นที่ ตั้งแต่ปี 2553 ในรูปแบบของ “1 โรงพยาบาล 1 โรงเรียน” ว่า ปัญหาสังคมและปัญหาครอบครัวส่งผลต่อการเรียนของนักเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จากการสำรวจพบว่า นักเรียนไทยระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาประมาณ 1 ใน 5 หรือราว 2 ล้านคน จากทั้งหมดประมาณ 10 ล้านคน มีปัญหาทางพฤติกรรมอารมณ์ จำเป็นต้องได้รับการดูแลช่วยเหลือ ซึ่งผู้ปกครองส่วนใหญ่ต่างฝากความหวังไว้กับครูและระบบการศึกษาว่าจะสามารถพัฒนาลูกหลานของตนเองให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ทั้งนี้ ปัญหาหลักที่พบในนักเรียนไทยมี 4 เรื่อง ได้แก่ การเล่นเกม การใช้สารเสพติด การใช้ความรุนแรง ทะเลาะวิวาทแก้ปัญหาคับข้องใจ และเรื่องเพศ โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร นำไปสู่การตั้งครรภ์ขณะนี้ยังเรียน
นายสรวงศ์ กล่าวต่อว่า หลังดำเนินโครงการดังกล่าว ในโรงเรียน 24 แห่งจาก 6 จังหวัด ได้แก่ พะเยา ร้อยเอ็ด สระแก้ว สมุทรปราการ นครศรีธรรมราช และ กทม.โดยพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนทั้งระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา 5 เรื่องหลักเป็นผลสำเร็จ ได้แก่ 1.ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนทั้งระดับประถมและมัธยม 2.การสร้างเครือข่ายการดูแล 3.การพัฒนาระบบการแนะแนว 4.การศึกษารูปแบบนักจิตวิทยาโรงเรียน และ 5.พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการดูแลช่วยเหลือนักเรียน พบว่า ประสบความสำเร็จ จึงเห็นว่าเป็นนโยบายสำคัญที่จะประกาศผลักดันเป็นนโยบายที่ดำเนินการทั่วประเทศในโครงการ 1 โรงพยาบาล 1 โรงเรียน
“โครงการนี้สามารถทำได้โดยจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาคุณภาพ (psychosocial clinic) แก่นักเรียนในโรงพยาบาลชุมชนขึ้นไป เชื่อมดูแลกับโรงเรียนประจำอำเภอ และสร้าง “นักจิตวิทยาโรงเรียน” ร่วมดูแลสุขภาพใจในเบื้องต้น คลายร้อนเป็นเย็นฟังปัญหานักเรียนให้มาก พูดคุยด้วยเหตุผลและให้ความเมตตานักเรียน โดยจะขยายให้ครอบคลุมทุกอำเภอภายในปี 2557” รมช.สาธารณสุข กล่าว
ด้าน นพ.อิทธิพล สูงแข็ง รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า โครงการนี้ดำเนินการร่วมกันระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สมาคมแนะแนวแห่งประเทศไทย โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ สถาบันราชานุกูล และสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งจากการติดตามผลโครงการพบว่า นวัตกรรมใหม่จากโครงการนี้ คือการมี “นักจิตวิทยาโรงเรียน” เป็นตัวเชื่อมต่อการดูแลระหว่างโรงเรียนกับโรงพยาบาล สามารถดูแลนักเรียนได้อย่างมีคุณภาพ และพบว่าครูให้ความสำคัญต่อปัญหาสุขภาพจิตนักเรียนในเรื่องการไม่อยู่ในกฎระเบียบ ปัญหาครอบครัว และความเครียดมากที่สุด
นพ.อิทธิพล กล่าวอีกว่า ส่วนกิจกรรมด้านส่งเสริมป้องปัญหาสุขภาพจิตส่วนใหญ่คือ กิจกรรมเสริมทักษะชีวิต และสร้างความภาคภูมิใจในคุณค่าตนเอง ส่วนกิจกรรมด้านการบำบัดเด็กที่มีปัญหาส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับปัญหา พฤติกรรม การเรียน และอารมณ์ โดยพบว่า รูปแบบการทำงานร่วมกันระหว่างสองสายงานที่มีเป้าหมายเดียวกันที่เด็กเช่นนี้ ส่งผลให้แนวโน้มปัญหาสุขภาพนักเรียนในกลุ่มเสี่ยงที่เข้าร่วมโครงการลดลง จึงมั่นใจว่าระบบนี้จะช่วยเติมเต็มระบบการดูแลนักเรียนต่อเนื่องระหว่างโรงเรียนกับโรงพยาบาล เด็กไม่รู้สึกว่าถูกสังคมโดดเดี่ยว หรือปล่อยให้เผชิญและแก้ไขปัญหาตามลำพังอีกต่อไป
โดยกรมสุขภาพจิตจะเร่งขยายการอบรมด้านการดูแลสุขภาพจิตให้เครือข่ายต่างๆ ทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในภาครัฐ โดยให้หน่วยงานในสังกัดกรมสุขภาพจิต และโรงพยาบาลจิตเวชทั้ง 17 แห่งทั่วประเทศ เป็นศูนย์การพัฒนารวมถึง สนับสนุนการทำงานของเขตบริการสุขภาพ 12 เขต และ กทม.
ที่มา : เว็บไซต์ astv ผู้จัดการออนไลน์