ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น
ชวนลูกฝึกปฏิบัติ “3 ไม่ 3 ต้อง” แทน
คงไม่น่าแปลกใจที่ปิดเทอมทีไรน้ำหนักเด็กๆ เพิ่มขึ้นประมาณ 4 – 5 กิโลกรัมทุกที โดยเฉพาะระยะ 5 – 10 ปีที่ผ่านมา อุบัติการณ์โรคอ้วนในเด็กเพิ่มขึ้นอย่างน่าใจหาย ร้อยละ 20 ของเด็กและเยาวชนไทยกำลังเผชิญกับภับยเงียบนี้ ยิ่งถ้าเป็นโรงเรียนในตัวเมืองและภาคเอกชนบางโรงเรียนอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นไปถึงร้อยละ 30 ด้วยซ้ำไป องค์การอนามัยโลกได้กำหนดปัจจัยหนักแน่น (Convincing factors) ที่จะทำมห้เป็นโรคอ้วนมีหลักๆ อยู่ 3 ข้อ กล่าวคือ
1. การกินอาหารพลังงานสูง (High energy dense food) ซึ่งมักเป็นอาหารให้รสชาติหวาน มัน เค็ม ข้อมูลเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน พบว่าเด็กไทยบริโภคน้ำตาลวันละ 18 – 20 ช้อนชา ต่อคนต่อวัน โดยที่ค่าขนมและเครื่องดื่ม เฉลี่ยวันละ 20 บาทต่อคนต่อวัน
2. การกินอาหารประเภทไขมันอิ่มตัว โดยเฉพาะทอดๆ มันๆ ซึ่งมีให้เห็นในบ้านเรา และเป็นที่นิยมชมชอบของเด็กๆ และเยาวชน โดยเฉพาะช่วงปิดเทอม ซึ่งหากินได้ง่ายมาก
3. การไม่ออกกำลังกาย (Physical inactivity) เด็กและเยาวชนไทยใช้ชีวิตสบาย ในช่วงปิดเทอมนอนดึกตื่นสาย นั่งดูทีวี เล่นเน็ตเกมส์วันละไม่ต่ำกว่า 3 – 5 ชั่วโมง แต่กลับไม่ได้ออกกำลังกายเลย
นอกจากนี้อิทธิพลของสื่อมีผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กและเยาวชนมาก ก่อให้เกิดความปราถนา อยากได้ อยากกิน (Nag factor or pest power) จนเกิดแรงจูงใจให้พ่อแม่ซื้อหรือซื้อเองได้อย่างง่ายดาย พลังความปราถนาที่เกิดขึ้นในเด็กเล็กและวัยเรียน ส่งผลต่อการตัดสินใจของพ่อแม่เป็นอย่างมาก จึงทำให้โฆษณาระดมสร้างพลังความปราถนาที่เน้นในวัยเด็กมากขึ้น ประกอบสถาบันครอบครัวที่อ่อนแอ ขาดการฝึกวินัย ฝึกทักษะต่างๆ ให้กับเด็กๆ
“การฝึกวินัยในการกินอาหารที่มีประโยชน์และเครื่องดื่มที่ไม่ทำลายสุขภาพเป็นบันไดขั้นแรกของการฝึกทักษะในสังคม (หรืออีคิว) ให้กับเด็กและเยาวชน”
เนื่องจากอาหารและเครื่องดื่มเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ของการดำรงชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย หากไม่รู้จักดูแลสุขภาพร่างกายด้วยการรู้จักกิน รู้จักออกกำลังกายด้วยแล้ว โรคอ้วนก็จะถามหาอย่างแน่นอน ฉะนั้นโรคอ้วนอันเนื่องมาจากพฤติกรรมการบริโภค จึงอาจเป็นตัวชี้วัดโดยอ้อมของการสร้างวินัยทั้งต่อตัวเอง ครอบครัว และชุมชน
โรคอ้วนในเด็กนอกจากเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือด ความดันโลหิตสูง ข้อเสื่อม หายใจลำบาก ยังส่งผลต่อความยากในการรักษาโรคติดต่อด้วยเช่นกัน เช่น หากป่วยเป็นไข้เลือดออก ท้องเสีย หรือปอดอักเสบ ผลเสียและภาวะแทรกซ้อนจากโรคติดต่อเหล่านี้จะมีผลกระทบมากกว่าในเด็กที่ไม่มีปัญหาโรคอ้วน เป็นต้น
กล่าวโดยสรุป เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ขอส่งความปราถนาดีและกำลังใจสู่สถาบันครอบครัว ร่วมกันรณรงค์ลดภาวะโรคอ้วนในเด็กและเยาวชน โดยข้อปฏิบัติ 3 ไม่ 3 ต้อง แทน กล่าวคือ
1. ไม่กินหวาน มัน เค็ม แต่ต้องกินผักผลไม้ทุกวัน วันหนึ่งๆ ไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชาต่อคนต่อวัน กินผักอย่างน้อย 5 กำปั้นต่อคนต่อวัน
2. ไม่ดูทีวี อินเทอร์เน็ตเพลิน แต่ต้องออกกำลังกายวันละครึ่งชั่วโมง วันหนึ่งๆ ไม่ควรดูทีวีเล่นเน็ต เกมส์เกินวันละ 2 ชั่วโมง เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ไม่ควรดูทีวี การออกกำลังกายที่จะเกิดประโยชน์ต่อหัวใจและระบบการไหลเวียนโลหิต คือ การเคลื่อนไหวทุกส่วนของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ และต้องทำต่อเนื่องอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 20 – 30 นาที
3. ไม่คร่ำเคร่งกับการเรียนอย่างเดียว แต่ต้องทำกิจกรรมสร้างสรรค์ในชุมชน วันหนึ่งๆ ไม่ควรคร่ำเคร่งกับการเรียนเกิน 8 ชั่วโมง และควรมีเวลากับกิจกรรมสร้างสรรค์ในบ้านและชุมชน 2 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อการเรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีคุณภาพ
ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ภาพประกอบ: อินเทอร์เน็ต
Update 10-06-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก