ประเพณีแซนโฎนตา บูชาบรรพบุรุษ
วันที่ 23 ก.ย.54 ที่ผ่านมา มีงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่สำหรับชาวอีสานใต้ เชื้อสายเขมร ในแถบจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และร้อยเอ็ด บางส่วน ซึ่งเป็นประเพณีที่แสดงถึงความกตัญญูกตเวทีของลูกหลานที่มีต่อบรรพบุรุษปูย่า ตายาย ทั้งคนที่ล่วงลับไปแล้ว และคนที่ยังมีอยู่ เป็นความเชื่อที่ปฏิบัติสืบทอดกันมายาวนานหลายชั่วอายุคนมาแล้ว
โดยเฉพาะที่ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ ถือว่างานประเพณีนี้เป็นงานประจำปีของอำเภอที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีขบวนแห่เครื่องเซ่นไหว้ที่สวยงามตระการตาหาชมได้ยาก มีการประดับตกแต่งด้วยวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น มีขบวนแห่ร่วม 23 ขบวน
“เมืองขุขันธ์” มีบรรพบุรุษที่สืบเชื้อสายจากชนเผ่าเขมรเป็นส่วนใหญ่ รองลงมาเป็นชนเผ่าลาว ส่วย(กูย)และเยอ ตามลำดับ มีวัฒนธรรมที่ดีงามซึ่งบรรพบุรุษได้รักษาไว้ให้ลูกหลานรุ่นหลังได้ถือปฏิบัติตาม จนกลายมาเป็นประเพณีที่สำคัญ คือ “ประเพณีแซนโฎนตา” อันเป็นประเพณีที่ยิ่งใหญ่ของชาวขุขันธ์ โดยเฉพาะปีนี้เป็นปีที่ครบรอบ 250 ปีของการสร้างเมืองขุขันธ์ จึงได้ชื่องานอันยิ่งใหญ่นี้ว่า “งานเทศกาลรำลึกพระยาไกรภักดี ประเพณีแซนโฎนตา บูชาหลักเมือง ลือเลื่องกล้วยแสนหวี” เป็นปีแรก
ทั้งนี้เพื่อให้ลูกหลานได้แสดงออกถึงคุณงามความดีที่เป็นคุณูปการที่บรรพบุรุษ เมืองขุขันธ์มีต่อลูกหลานชาวขุขันธ์ อีกทั้งลูกหลานได้มีโอกาสเซ่นไหว้ และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษของวงศ์ตระกูลของตนเองที่ได้ล่วงลับไปแล้ว สำหรับในปี พุทธศักราช 2554 กำหนดจัดงานตรงกับ วันที่ 22 – 23 กันยายน
ความสำคัญ และประโยชน์ของการประกอบพิธีแซนโฎนตา ก็เพื่อถือปฏิบัติตามประเพณีที่สืบต่อกันมานานของบรรพบุรุษชาวอำเภอขุขันธ์ ซึ่งมีความเชื่อว่าเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษที่ได้ล่วงลับไปแล้ว เมื่อถึงวันแรม 14 ค่ำเดือน 10 ลูกหลานญาติพี่น้องที่ไปประกอบอาชีพหรือตั้งถิ่นฐานที่อื่น ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลทั่วทุกสารทิศ จะเดินทางกลับมารวมญาติ และมาทำบุญที่บ้านเกิดเพื่อทำพิธีแซนโฎนตา ร่วมกันทำบุญกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้บรรพบุรุษ และญาติของตนเองที่ได้ล่วงลับไปแล้ว
นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสที่จะได้ทำดีตามหลักพระพุทธศาสนาโดยการบริจาค ให้ทาน และฟังเทศน์ ส่งผลให้จิตใจแจ่มใสปราศจากความเศร้าโศก ซึ่งสะท้อนให้เห็นความรัก ความผูกพันของสมาชิกในครอบครัว เครือญาติ และความสมัครสมานสามัคคีของคนในชุมชน พิธีการแซนโฎนตา มีขึ้นในวันแรม 14 – 15 ค่ำของเดือน 10 ทุกปี ซึ่งตรงกับวันสารทใหญ่ของชาวพุทธ นั่นเอง
บรรพบุรุษชาวขุขันธ์มีความเชื่อว่า ช่วงนี้ในเวลากลางคืนจะเป็นช่วงที่มีลมพัดจากทางทิศเหนือ ไปทางทิศใต้ซึ่งสอดคล้องกับที่จะได้ลอยเรือส่งอาหารไปถึงพวกเปรตที่อยู่ทางทิศใต้ อันที่จริงก่อนจะถึงวันทำพิธีแซนโฎนตา หรือที่ชนเผ่าเขมรอำเภอขุขันธ์เรียกว่า “เบ็ญธม” ซึ่งตรงกับวันแรม 15 ค่ำเดือน 10 ทุกปีนั้น ในช่วงระหว่างวันแรม 1 ค่ำ ถึงก่อนวันแรม 14 ค่ำเดือน 10 (ชาวเขมรเชื่อว่าเมื่อถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 ประตูยมโลกจะเปิดและอนุญาตให้ผีในยมโลกเดินทางมาเยี่ยมญาติได้) ชาวบ้านจะพากันไปวัดเพื่อประกอบกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษ และญาติที่ล่วงลับ ฟังพระสงฆ์แสดงธรรมเทศนา เป็นต้น
เหลืออีก 1 – 2 วันก่อนจะถึงวันแรม 15 ค่ำ ชาวบ้านจะเตรียมการจัดทำพิธีแซนโฎนตา โดยทำขนมหลากหลายชนิด มีข้าวต้มมัดขนมเทียน เป็นต้น เพื่อเอาไปทำบุญที่วัด และเป็นของฝากให้ญาติพี่น้องที่อยู่ใกล้ชิดกัน เมื่อญาติพี่น้องในครอบครัว และญาติจากที่อื่นๆ มาพร้อมกันแล้ว ชาวบ้านจะทำพิธีเซ่นไหว้โดยจุดธูปเทียนกล่าวอัญเชิญให้บรรพบุรุษ และญาติที่ได้ล่วงลับไปแล้วมารับประทานอาหารที่ได้จัดเตรียมไว้ให้ โดยอัญเชิญเป็นระยะๆ จำนวน 3 ครั้ง การอัญเชิญในแต่ละครั้ง จะมีการเทน้ำใส่แก้ว เพื่อกรวดน้ำทุกครั้ง เมื่อครบ 3 ครั้งแล้ว จะนำถ้วยชามมาตักอาหาร ใส่ขนมและผลไม้ที่เป็นเครื่อง เซ่นไหว้
รวมทั้งบุหรี่และธูปเทียนแล้วนำไปเท หรือวางไว้บนดินนอกบ้าน เพื่อส่งไปให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว เพื่อเก็บไว้กิน และขณะเดียวกันก็จะกล่าวคำขอพรให้ลูกหลานมีความสุขความเจริญ ทำมาค้าขายมีกำไร และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานสุดท้าย ชาวบ้านจะจัดทำเรือ/กระทงเล็กๆ โดยใช้ต้นกล้วย บรรทุกข้าว ข้าวโพด ถั่ว และเงิน เมื่อถึงเวลาใกล้จะถึงตี 4 หรือตี 5 จะนำเรือ /กระทงเล็กๆ ไปลอยตามกระแสน้ำ เพื่อส่งไปยังพวกเปรตตามความเชื่อ โดยชาวบ้านเชื่อว่า เปรตมี 4 ชนิด ได้แก่ 1.เปรตที่เลี้ยงตัวเองด้วยเลือด 2.เปรตที่หิวตลอดเวลา 3.เปรตที่ไฟไหม้ตลอด และ 4.เปรตที่เลี้ยงตัวโดยผลบุญกุศลที่เขาอุทิศให้ ซึ่งก็คือ การจัดพิธีแซนโฎนตาที่ญาติซึ่งมีชีวิตอยู่ได้ทำบุญอุทิศให้นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม แม้พิธีแซนโฎนตา จะเป็นความเชื่อที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ก็เป็นโอกาสดีที่ญาติพี่น้องจะหาโอกาสมาพบปะกันปีละครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ห่างไกล หรือไปทำงานอยู่ต่างถิ่น จะได้แสดงออกถึงความรักห่วงใยกันโดยเฉพาะในสังคมปัจจุบัน ต่างก็ออกจากบ้านอันเป็นถิ่นกำเนิดไปทำมาหากินอยู่ถิ่นอื่นๆ หากไม่มีประเพณีแซนโฎนตาแล้ว ในรอบหนึ่งปีอาจจะหาโอกาสกลับบ้านเพื่อพบปะญาติพี่น้องในตระกูลเดียวกันอาจหาไม่ได้
ส่วนเรื่องของการนำเอาเหล้าเข้ามาเป็นหนึ่งในเครื่องเซ่นไหว้นั้น ก็ยังคงมีอยู่ที่อำเภอขุขันธ์ เพราะยังมีความเชื่อกันอยู่ในเรื่องของการความสำคัญที่ขาดไม่ได้ของเครื่องดื่มชนิดนี้ บ้างก็อ้างว่าเป็นประเพณีที่ทำกันอย่างนี้มานานจะเปลี่ยนได้อย่างไร บ้างก็อ้างว่า บรรพบุรุษชอบเหล้า ถ้าไม่มีเหล้าเป็นเครื่องเซ่นไหว้แล้วท่านจะไม่พอใจ บ้างก็ว่าถ้าไม่มีเหล้าก็ไม่เห็นเป็นอะไร ต่างก็มีความเชื่อที่แตกต่างกัน สุดท้ายก็ยังคงต้องมีเหล้าเป็นเครื่องเซ่นไหว้อยู่ แม้นโยบายของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษจะให้จัดงานบุญประเพณีปลอดเหล้า แต่งานอาจจะมีข้อยกเว้นงานประเพณีแซนโฎนตาหรือไม่อย่างไร เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่งว่าจะสามารถทำให้งานนี้ปลอดเหล้าได้หรือไม่
แต่ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีเรื่องหนึ่งคือ ตลอดงานที่มีขบวนแห่ยาวเหยียดและได้เดินสังเกตการณ์ทุกขบวนแห่ตั้งแต่หัวขบวนจนท้ายขบวน ปรากฏว่าขบวนแห่ทั้ง 22 อบต.นั้นแม้จะมีเหล้าอยู่ในกระเชอทุกขบวน แต่ไม่ปรากฏคนกินเลยแม้แต่ขบวนเดียว (จากการสังเกตด้วยสายตา) แต่มีอีกหนึ่งขบวนที่แปลกแตกต่างจากขบวนอื่นๆ คือ ขบวนแห่ของเทศบาล ที่เป็นหน่วยงานราช การและเจ้าภาพร่วมกับอำเภอ ปรากฏเห็นมีการดื่มกันในขบวนอย่างโจ๋งครึ่ม และมีคนเมาอยู่ร่วมในขบวนด้วย เป็นขบวนเดียวที่เห็นมีการดื่ม ก็อาจจะต้องมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับพื้นที่ที่ทำสำเร็จแล้วกับงาน แซนโฎนตาปลอดเหล้า อย่างจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งความยิ่งใหญ่ของงานก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แต่ทำไมที่สุรินทร์ทำได้ ก็คงเป็นเรื่องของคนในพื้นที่ต้องคิดต้องพิจารณาดูว่า จะต้องทำอย่างไรกับภาพที่เห็น
เรื่อง: ธงชัย พูดเพราะ
ที่มา: ศูนย์ประสานงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ภาคอีสานตอนล่าง