นวัตกรรมความปลอดภัย แก้อุบัติเหตุบนถนน
ที่มา : เดลินิวส์
แฟ้มภาพ
หลังจากช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา หลายฝ่ายเร่งสรุปผลความสูญเสียที่เกิดจากอุบัติเหตุบนท้องถนน และเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อที่จะลดอุบัติเหตุให้เกิดขึ้นน้อยลง ซึ่งมีนวัตกรรมความปลอดภัยใหม่ๆ ที่จะนำเข้ามาใช้บนท้องถนนไทย มีอะไรบ้างไปติดตามกัน
สงกรานต์จบ แต่อุบัติเหตุสงกรานต์ยังไม่จบ เมื่อตัวเลขผู้เสียชีวิตช่วง 7 วันอันตรายพุ่งถึง 418 ราย แซงทะลุปี 60 ที่มีผู้เสียชีวิต 390 ราย จน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งให้เพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ฝ่าฝืนกฎจราจรที่เป็นสาเหตุให้สถิติกระฉุด คือ เมาแล้วขับ ใช้ความเร็วเกินกฎหมาย และไม่สวมหมวกนิรภัย รวมทั้งหามาตรการอื่นๆ มาแก้ไขปัญหาควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมาย
หน่วยงานที่ดูแลกายภาพของถนนอย่าง กรมทางหลวง (ทล.) ให้คำมั่นว่า จะแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุของประเทศตลอดทั้งปี ไม่ทำแค่ช่วงเทศกาล เริ่มจากการกะเทาะจุดเสี่ยงอันตรายที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุทั้งหมด 141 จุด เพื่อแก้ไขปัญหาโดยร่วมมือกับกระทรวงที่ดินโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่นหรือ “เอ็มลิท” (MLIT) จากประเทศญี่ปุ่นที่นำประสบการณ์การทำงานลดอุบัติเหตุที่ได้ผล หลังใช้เวลาถึง 45 ปีมาถ่ายทอดให้กับประเทศไทยตั้งแต่สงกรานต์ปีที่แล้ว
นายสุจิณ มั่งมิตร ผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัย ทล. กล่าวว่า ที่มาของ 141 จุด ได้เลือกจากโครงข่ายของทางหลวงทั่วประเทศระยะทางกว่า 50,000 กม. มีจุดเสี่ยงอันตรายที่เกิดอุบัติเหตุอย่างน้อย 2-3 ครั้งขึ้นไป รวม 141 จุด 1.ทางลงเขาลาดชันเสี่ยงกับเบรคแตก 35 จุด 2.ทางโค้งเสี่ยงกับการแหกโค้ง 67 จุด ทั้งนี้มีทางโค้งติดกัน คือโค้งลักษณะซ้อนกันตั้งแต่โค้งตัวเอส หรือโค้ง 2 ทิศทาง และต่อเนื่องด้วยโค้งขวา ทำให้ผู้มาด้วยความเร็วแหกโค้งได้ และ 3.ทางตรงยาวเสี่ยงกับการหลับใน 39 จุด
ทล.จะนำนวัตกรรมความปลอดภัยใหม่ๆ มาแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุของประเทศให้ลดน้อยลง คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 5 ปี ติดตั้งแล้วเสร็จ เนื่องจากงบประมาณมีจำกัด เพราะต้องใช้หลายด้านไม่ใช่แค่มิติของความปลอดภัย แต่ ทล. มีภารกิจทั้งสร้างทางและบำรุงรักษาทางด้วย
แนวทางแก้ไขสำหรับ “ทางโค้ง” ได้ติดตั้งป้ายเตือนก่อนเข้าโค้งแรกด้วยข้อความ “ระวังทางโค้ง” หรือคำว่า “โค้งอันตราย” ถือว่าได้ผลระดับหนึ่ง แต่ยังเกิดอุบัติเหตุได้ในช่วงที่ 2 ยกตัวอย่างถนนที่อยู่ในเส้นทางจุดเสี่ยง อาทิ ทางหลวงหมายเลข 304 วังน้ำเขียว ทางหลวงหมายเลข 3 ช่วงจันทบุรี-ตราด ทางหลวงหมายเลข 118 เชียงใหม่-เชียงราย เป็นต้น
“ทล.ได้ออกแบบสัญลักษณ์ระวังทางโค้งใหม่ โดยเพิ่มวัสดุสีแดงมีความหนืดเต็ม 2 ช่องจราจร กว้างขนาด 7 เมตร ยาว 7 เมตร เขียนข้อความสีขาว “ระวัง” หรือ “ลดความเร็ว” ใช้งบประมาณจุดละ 40,000-50,000 บาท พร้อมติดตั้งเครื่องหมายลูกศรสีแดงสลับขาวริมทางโค้ง ที่ไม่สามารถติดสัญลักษณ์บนพื้นทางได้”
นอกจากนี้ยังได้ ติดตั้ง “เส้นสะท้อนสายฝน” (Rain Line) ใช้วิธีเคลือบฟิล์มบนเส้นแบ่งช่องจราจร เวลาฝนตกจะมีสีสะท้อนให้ผู้ขับขี่รถบนท้องถนนเห็นได้ชัดเจน เน้นติดตั้งบริเวณภาคใต้และภาคเหนือ พื้นที่ฝนตกชุก แต่ต้นทุนในการติดตั้งแพงกว่าการตีเส้นปกติประมาณ 2 เท่า จึงต้องรองบประมาณในการตีเส้นดังกล่าวในปี 62
“เส้นจราจรแบบสันนูน” (Profile Marking) มีลักษณะเป็นพื้นนูนบนเส้นไหล่ทางและข้างเส้นไหล่ทาง ความถี่ห่างกัน 20 เซนติเมตร ทำหน้าที่กระตุ้นเตือนผู้ขับขี่ที่หลับใน เพราะผู้ขับขี่ที่หลับในจะหักรถเข้าข้างทางเสมอ เมื่อขับรถทับเส้นไหล่ทางจะรู้สึกตื่นตัวเพราะรถจะสั่นสะเทือน ซึ่งใช้กันมากในแถบประเทศยุโรปและญี่ปุ่น ระยะทางประมาณ 10 กม.
ใช้งบประมาณติดตั้งราว 1.5 ล้านบาท นำร่องทดลองตีเส้นปลุกคนหลับในบนทางหลวงสู่ภาคใต้ ช่วงเพชรบุรี-วังมะนาว เมื่อปลายปี 59 ปรากฏว่าอุบัติเหตุจากการหลับในลดลง แต่ด้วยงบประมาณที่มีจำกัด ทล. จึงติดตั้งป้ายแบบใหม่ “ง่วงจอดพัก” เตือนผู้ขับขี่อย่าฝืนหากมีอาการง่วงหรือเมื่อยล้า เพราะอาจจะหลับในได้ ให้จอดพักดีกว่าเพื่อความปลอดภัย
ส่วนพวกชอบขับเร็วให้สังเกต “เครื่องหมายลดความเร็ว” (Optical Speed Bar : OSB) คือการตีเส้นเพิ่มเติมจากเส้นทึบแบ่งช่องจราจร โดยเป็นเส้นตรงขีดเข้ามาภายในช่องจราจร ลักษณะคล้าย “เส้นกางปลา” ตลอดแนวเพื่อเป็นการบีบช่องจราจรทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกว่าถนนแคบ จะลดความเร็วลง
โดยจะติดบริเวณทางโค้ง ค่ายลูกเสือหมวกเหล็ก จ.สระบุรี, ทางไปดอยสะเก็ด ดอยนางแก้ว จ.เชียงใหม่ เส้นทางไป อ.เด่นชัย จ.ลำปาง บริเวณทางโค้ง เขาพับผ้า จ.ตรัง รวมถึงป้าย “ยัวร์สปีด” (Your speed) คร่อมถนน เพื่อโชว์ตัวเลขความเร็วรถขึ้นป้ายกระตุ้นเตือนให้ผู้ขับขี่ลดความเร็วลง ซึ่งติดตั้งแล้วที่บริเวณเขาพลึง จ.อุตรดิตถ์
สำหรับนวัตกรรมป้องกันการชนท้าย ใช้วิธีทาแถบสีขาวบนผิวถนน นำมาทดลองใช้แล้วบนถนนพระราม 2 (ธนบุรี-ปากท่อ) ทาสีบริเวณช่องกลาง และช่องขวาสุดชิดเกาะกลาง ระยะห่างกันแถบละ 37 เมตร แบ่งเป็น 3 ชุด แต่ละชุดมี 20 แถบ มีระยะห่างกัน 1.30 กม. ภายในระยะทาง 5 กม. ระหว่างตลาดมหาชัย เมืองใหม่ กับ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร หลังพบว่าสถิติชนท้ายสูง 50-60% สาเหตุหลักมักขับรถกระชั้นชิด เบรกกะทันหัน
ภาครัฐพยายามหามาตรการและนวัตกรรมใหม่ๆ มาแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุของประเทศ แต่ประชาชนต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ด้วย รักษาวินัยจราจรเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและคนรอบข้าง ไม่เช่นนั้นประเทศไทยก็ต้องรั้งแชมป์อันดับ 2 ของโลกที่มีผู้เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางถนนสูงสุดต่อไป