ติดอาวุธท้องถิ่น รับมือ “สังคมสูงวัย”
ผลจากการวิจัย พบว่า สังคมไทยนับแต่วันนี้เรื่อยไป จะเข้าสู่ "สังคมของผู้สูงอายุ" เนื่องจาก ปริมาณของผู้สูงอายุจะเพิ่มมากขึ้น ดังเราจะเห็นได้ในทุกหนทุกแห่ง กับภาพของผู้สูงอายุที่อยู่บ้าน เพียงลำพัง บ้างเจ็บป่วย บ้างมีภาระเลี้ยงดูลูกหลานที่นำมาฝากไว้ โดยเฉพาะในชุมชนท้องถิ่น
สิ่งเหล่านี้จะแปรเปลี่ยนไป หากชุมชนท้องถิ่นตระหนักและให้ความสำคัญเพื่อเตรียมความพร้อมในการดูแลช่วยเหลือ ผู้สูงอายุอย่างรอบด้าน และสอดคล้องกับปัญหา ความต้องการของคนในแต่ละพื้นที่ ภายใต้ทุนทางสังคมและศักยภาพของชุมชน ท้องถิ่นที่มีอยู่
เมื่อเร็วๆ นี้ เครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ ร่วมกับ สำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สำนัก 3) และสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) ภายใต้สำนักงานกองทุน สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดการความรู้และพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุโดยเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง เพื่อสรุปบทเรียนจากประสบการณ์ของพื้นที่มาสู่การพัฒนาการดูแล ผู้สูงอายุอย่างเป็นระบบ ระหว่างวันที่ 3-5 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา ณ องค์การบริหารส่วนตำบลสมอแข อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก
ผศ.ดร.พีรพงษ์ บุญสวัสดิ์กุลชัย รองผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน (ศวช.) คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อธิบายถึงปฏิบัติการในครั้งนี้ว่า ได้มีการ ลงนามความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน 62 แห่ง พร้อมร่วมกันประกาศเจตจำนงในการพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุโดยเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง หลังจากได้เข้าร่วมกิจกรรม เรียนรู้ แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุอย่าง รอบด้าน โดยเน้นการใช้ทุนที่มีอยู่ในชุมชนเป็นตัวตั้งในการขับเคลื่อนงานพัฒนาระบบ
ผศ.ดร.พีรพงษ์ เปิดเผยให้ทราบว่า เราเริ่มจากการมองปัญหาที่มีในชุมชนของตนเอง แล้วแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และช่วยกันออกแบบกิจกรรมที่สามารถตอบโจทย์และนำกลับไปใช้ในพื้นที่ได้จริง โดยใช้ชุดกิจกรรมในการดูแลผู้สูงอายุ 6 ข้อ ต่อไปนี้เป็นต้นแบบ ได้แก่ 1.การพัฒนาศักยภาพ 2.การพัฒนาสภาพ แวดล้อมที่เอื้อต่อผู้สูงอายุ 3.การพัฒนาระบบบริการ 4.การจัดตั้งกองทุนหรือจัดให้มีสวัสดิการช่วยเหลือกัน 5.การพัตนาและนำใช้ข้อมูลในการส่งเสริมแก้ไขหรือจัดการปัญหาผู้สูงอายุ และ 6.การพัฒนา กฎกติการะเบียบแนวปฏิบัติเพื่อหนุนเสริมการดำเนินกิจกรรมเสริมความเข้มแข็งชุมชนท้องถิ่น
เมื่อสิ้นสุดกระบวนการเหล่านี้ ชุมชนท้องถิ่นจะมองเห็นว่า ยังมีอะไรที่ได้ลงมือทำไปแล้ว กำลังจะลงมือทำ หรือยังไม่เคยทำ และเกิดแรงบันดาลใจในการต่อยอดเพื่อพัฒนาผู้สูงอายุในพื้นที่ของตนเองขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตาม การเดินหน้าพัฒนาก็ยังต้องอาศัยความพร้อมของแต่ละพื้นที่ที่มีความหลากหลายเช่นกัน
คุณโสภา ทะนันไชย ปลัด อบต.ตำหนักธรรม ต.ตำหนักธรรม อ.หนองม่วงไข่ จ.แพร่ เล่าให้ทราบในฐานะตัวแทนของผู้ปฏิบัติ ว่า อบต. ตำหนักธรรมมีสมาชิกทั้งหมด 3,163 คน ผู้สูงอายุ 500 กว่าคน มีความโดดเด่นเรื่อง "กองทุนสวัสดิการชุมชน" หรือ "กองทุนออมวันละบาท" ซึ่งความก้าวหน้าของกองทุนคือ มีสมาชิกวัยเด็กเพิ่ม มากขึ้น สามารถเปลี่ยนให้คนในชุมชนได้เห็นว่า เงิน 1 บาท ที่ดูเหมือน ไม่มีค่า แต่พอเริ่มออมเงินทุกวันก็มีค่ามหาศาลได้ และยังได้พบปัญหาเรื่องผู้สูงอายุไม่ค่อยรู้หนังสือแถมมาด้วย จึงทำให้คณะทำงาน มีความคิดเห็นตรงกันว่า จะจัดตั้ง "โรงเรียนผู้สูงอายุ" เพื่อให้สามารถ เขียนชื่อ-สกุลของตนเองในการรับเงินเบี้ยยังชีพได้ และใช้เป็นทักษะในการรับข่าวสารด้วย
ปลัด อบต.ตำหนักธรรม เล่าอีกว่า ความสำเร็จในวันนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วนไม่ว่าเป็นอาสาพัฒนา ชุมชน, อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดแพร่, อาสาสมัครจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและจิตอาสาจากสภาเด็กและเยาวชน ทุกคนล้วนมีส่วนสำคัญและมีใจที่ทุ่มเทเสียสละ เพราะการทำงานในชุมชนทุกอย่างต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะข้าราชการที่เป็นคนของแผ่นดิน ไม่ว่าจะอยู่ในหน่วยงานไหนก็ต้องตอบแทนท้องถิ่นและประเทศชาติของตน
น.ส.ดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สสส. เพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากนี้ สิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คือ การจัดสภาพแวดล้อมภายในบ้าน ภายในชุมชน ซึ่งเป็นความรู้ที่ต้องนำเข้าจากภายนอก เพราะคนในชุมชนไม่มีความรู้ เฉพาะด้าน ต้องใช้ความรู้จากด้านสถาปัตย์มาช่วยออกแบบ เพื่อไม่ให้ผู้สูงอายุกลายเป็นคนติดบ้าน ติดเตียง โดยจะต้องส่งเสริมสนับสนุนให้ชุมชนมีความรู้และสามารถจัดการตนเองต่อไปได้
รวมความทั้งหมดนี้ทำให้ฟันธงลงไปได้เลยว่า กระบวนการ และขั้นตอนทั้งหมด เราต้องให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุในฐานะผู้รับ ให้พวกเขาเหล่านั้นได้มีส่วนร่วมในการพัฒนา การออกกฎระเบียบในชุมชน มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ในด้านต่างๆ ที่ถือได้ว่า เสมือนหนึ่งเป็นการติดอาวุธให้พวกเขาไว้ป้องกันตัว และนำเอาอาวุธเหล่านี้ไปก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเองต่อไป
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า โดยปานมณี