ช่วยกันลดการสูญเสีย “ปีสุขภาวะ” เพิ่มอายุขัยเฉลี่ยของคนไทย
ที่มา: การประชุมวิ

แต่ไหน แต่ไรมา คนปรารถนามีสุขภาพดี อายุยืนยาว แต่หากต้องจบชีวิตก่อนวัยอันควร นับว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย ยิ่งมูลเหตุมาจากเรื่องที่ป้องกันได้ ก็ยิ่งไม่ควรเกิดขึ้น
ข้อมูลน่าสนใจจากการประชุมภาระโรคแห่งประเทศไทย 2568 ภายใต้หัวข้อ “ภาระโรคของคนไทย ร่วมคืนปีสุขภาวะให้คนไทย” โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพแห่งชาติ (สสส.) ร่วมกับ มูลนิธิเพื่อการพัฒนาสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP Foundation) พบว่า ภาระโรคของประชากรไทยในปี 2565 มีความสูญเสียด้านสุขภาพ หรือช่องว่างสุขภาพ ในหน่วย “ปีสุขภาวะที่สูญเสีย” ทั้งจากปีสุขภาวะที่สูญเสียจากการตายก่อนวัยอันควร หรือ Year of life lost due to premature mortality: YLL และปีสุขภาวะที่มีชีวิตอยู่กับความบกพร่องทางสุขภาพ หรือ Years Lived with Disability: YLDs เพิ่มมากขึ้น

ดร.ณัฐพันธุ์ ศุภกา รักษาการผอ.สำนักวิชาการและนวัตกรรม สสส. อธิบายว่า ในการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค สสส. จะใช้ข้อมูลภาระโรค เป็นเครื่องมือวางแผนแก้ปัญหาสุขภาพ เริ่มตั้งแต่สรุปข้อมูลสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูล จากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ทั้ง กลุ่มอายุ และภูมิภาค ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร จากนั้นเลือกพื้นที่ในการแก้ไขปัญหา โดยร่วมกับภาคี ออกมาตรการรณรงค์ สร้างสุขภาพ แบบจำเพาะเจาะจง เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีปัญหาโรค NCDs จากวิถีชีวิตท้องถิ่น ที่นิยมอาหารรสเค็ม เช่นเดียวกับคนวัยทำงาน พบว่า ผู้ชายมีสัดส่วนป่วยโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น จากพฤติกรรมการบริโภคอาหารรสจัด

จากการศึกษาภาระโรคล่าสุด ปี 2565 พบว่า คนไทยผชิญวิกฤตสูญเสียปีสุขภาวะ หรือ ปีสุขภาพดี 20.5 ล้านปีสุขภาวะ (Dalys) ในจำนวนนี้ 78% ของการสูญเสียมาจากการตายก่อนวัยอันควร บั้นปลายชีวิตต้องอยู่กับความเจ็บป่วยและความพิการ และค่าเฉลี่ยของความสูญเสียจากการตายก่อนวัยอันควร ยังสูงกว่า 3 ปีก่อน ที่ 18 ล้านปีสุขภาวะ
“การคิดคำนวณของปีที่ต้องสูญเสียจากการตายก่อนวัยอันควร นำอายุขัยเฉลี่ยของคนไทย มาลบกับ ช่วงอายุที่เสียชีวิต เช่น วัยแรงงาน หากอายุเฉลี่ย 80-90 ปี แต่เกิดเสียชีวิตตอน 20 ปี เท่ากับต้องตายก่อนวัยอันควร ถึง 60 ปี ดังนั้น ปีสุขภาวะที่เกิดจากตายก่อนวัยอันควร จึงเป็นการรวมจำนวนปีที่ตายก่อนวัย ของประชากรทั้งหมด ซึ่งรวมไปถึงปีสุขภาวะที่มีชีวิตอยู่กับความบกพร่องทางสุขภาพ นำเอาอายุเฉลี่ย ลบกับช่วงอายุที่เกิดอุบัติเหตุ จนเกิดความพิการ จึงกลายเป็นที่มาของปีสุขภาวะที่ต้องสูญเสีย 20.5 ล้านคน หากตัวเลข GDP สะท้อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ค่าปีสุขภาวะ ก็สะท้อนสุขภาพและอายุเฉลี่ยของคนไทย หากต้องการมีสุขภาพดีตัวเลขต้องน้อยลง ” ดร.ณัฐพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย

ดร.ทพญ. กนิษฐา บุญธรรม มูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP Foundation) อธิบายว่า ค่า Dalys สะท้อนข้อมูลการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของคนไทย จากการสำรวจ ปี 2565 พบว่า คนไทยต้องสูญเสียปีสุขภาวะ ตายก่อนวัยอันควร มาจากปัญหาโรค NCDs ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมอง 9.5% อุบัติเหตุทางถนน 7.3% โรคเบาหวาน 6.2% โรคไตเรื้อรัง 5.7%
การสูญเสียปีสุขภาวะ พบว่า เพศชาย เกิดจากการตายก่อนวันอันควร ส่วนเพศหญิง มาจากความบกพร่องทางสุขภาพ ส่วนภาระโรคในแต่ละกลุ่มวัยนั้น พบว่า เด็ก 0-14 ปี เสี่ยงจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน และการจมน้ำ กลุ่มวัยรุ่น อายุ 15-29 ปี พบทำร้ายตัวเอง ติดยาเสพติด และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กลุ่มวัยผู้ใหญ่ อายุ 30-59 ปี และ กลุ่มสูงวัย 60 ปีขึ้นไป พบ ป่วยโรค NCDs
และจากข้อมูลดัชนีอายุเฉลี่ย (Life Expectancy: LE) และ อายุคาดเฉลี่ยของการมีสุขภาวะ (Health-Adjusted Life Expectancy: HALE ) พบว่า ในปี 2562 เพศชาย มีอายุคาดเฉลี่ยของการมีสุขภาวะ อยู่ที่ 65.3 ปี ลดลงจาก 66.4 ปี และเพศหญิง มีอายุคาดเฉลี่ยของการมีสุขภาวะ อยู่ที่ 78.3 ปี ลดลงจาก 79.5 ปี
ดังนั้น การกู้ปีสุขภาวะเพื่อให้คนไทยกลับมามีสุขภาพดี ต้องอาศัยกลไกเชิงนโยบาย และสร้างการตระหนักรู้จากข้อมูลภาระโรค ประกอบด้วย 1. ผลักดันมาตรการควบคุมโรค NCDs อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง 2. ยกระดับมาตรการความปลอดภัยทางถนนในทุกมิติ 3. พัฒนาระบบส่งเสริม ป้องกัน ควบคุมโรคที่สร้างภาระสุขภาพสูง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ โรคตับ 4. สร้างระบบบริการสุขภาพจิตและบำบัดยาเสพติดเชิงรุก และ 5. ใช้ฐานข้อมูลปีสุขภาวะที่หายไป เป็นตัวช่วยในการวางแผน ลำดับความสำคัญของปัญหา และประเมินผลของนโยบาย

นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เล่าถึงประสบการณ์ทำงานในช่วงสถานการณ์ โควิด-19 เฝ้าดูข้อมูลทั้งประเทศ ทั้งหน่วยงานในสังกัดกระทรวง และหน่วยงานภายนอก รวมถึงข้อมูลจากต่างประเทศเทศ มีผลสำคัญในการคาดการณ์ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต เพื่อนำมากำหนดนโยบาย บรรเทาสถานการณ์โควิด-19
“การบริหารสถานการณ์โควิด ต้องมีการมอนิเตอร์ข้อมูลทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อดูโอกาสว่าจะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นหรือไม่ โดยดูเป็นรายจังหวัด จากนั้น สร้างกลไกในแต่ละจังหวัด เพื่อกำชับติดตาม จากนั้นรวบรวมข้อมูลนำเสนอ ผลการทำงานให้กับ กรมควบคุมโรค รวมถึงศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. และแถลงให้ประชาชนทราบ ถึงความก้าวหน้าของการดำเนินงาน” นพ.โสภณ กล่าว
ศ.นพ.วีระศักดิ์ จงสู่วิวัฒน์วงศ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า การขับเคลื่อนนโยบายไม่ว่าจะระดับท้องถิ่น หรือระดับประเทศ ต้องเริ่มจากการรับข้อมูลให้รอบด้าน โดยต้องมองนอกระบบสาธารณสุข รวมไปถึงข้อมูลด้านภูมิศาสตร์ทางการแพทย์ (Medical Geography) เพราะสภาพธรณีวิทยา ภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อม มีผลอย่างมากต่อรูปแบบของโรค เช่น
ในภาคอีสานตอนบนบริเวณลุ่มน้ำชีที่มีธรณีสัณฐานต่างจากลุ่มน้ำมูล พบโรคไตเรื้อรังและโรคเบาหวานสูงกว่าพื้นที่อื่น อาจสัมพันธ์กับแร่ธาตุในดิน หรือบริการสาธารณสุขในพื้นที่

“อยากฝากให้ นักสาธารณสุขไม่จำเพาะสนใจ แต่ทางระบาดวิทยา แต่ต้องสนใจสิ่งแวดล้อม และภูมิอากาศให้มากขึ้น เพราะหากไม่เข้าใจภูมิประเทศและวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ศ.นพ.วีระศักดิ์ กล่าว
ดังนั้น เมื่อตระหนักรู้ถึงข้อมูลสุขภาพ การจะอุดช่องโหว่ลดความสูญเสีย การตายก่อนวัยอันควร และลดความบกพร่องทางสุขภาพ คืนปีสุขภาวะที่ดี ให้กับคนไทย ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป



