คนกรุงกว่า 2 แสนเสี่ยงตาบอด
ภัยเงียบอันดับ1”ต้อหิน” เตือน40ปีขึ้นไปให้ระวัง ระบุ 9 ใน 10 คนไม่มีอาการ
พญ. มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าฯ กทม. เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงาน รวมพลังระวังต้อหินโลก ปี 2554 ร่วมด้วย รศ.นพ.ปริญญ์ โรจน์พงศ์พันธุ์ ประธานชมรมต้อหินแห่งประเทศไทย เนื่องในวันต้อหินโลก โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 5 มี.ค.54 ตั้งแต่เวลา 06.00 – 12.00 น. ณ อาคารลุมพินีสถาน สวนลุมพินี เพื่อสร้างความตระหนักให้คนไทยใส่ใจดูแลรักษาดวงตาอย่างถูกต้อง
พญ.มาลินีกล่าวว่า โรคต้อหินเป็นสาเหตุอันดับ 1 ที่ทำให้ผู้ป่วยตาบอดชนิดถาวร โดยอุบัติการณ์ของโรคมีประมาณร้อยละ 2.5– 3.8 หรือคิดเป็นจำนวนผู้ป่วย 1.7 – 2.4 ล้านคน แต่จากการสำรวจชุมชนในกรุงเทพฯ โดยโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และโรงพยาบาลศิริราชพบว่า ในกลุ่มประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เป็นโรคต้อหินสูงถึงร้อยละ 3.8 และเพิ่มเป็นร้อยละ 6.1 ในกลุ่มประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งนับวันจะมีผู้ป่วยต้อหินเพิ่มมากขึ้นทุกปี เนื่องจากผู้ป่วย 9 ใน 10 คน จะไม่มีอาการในระยะแรก กว่าจะไปพบแพทย์ก็อยู่ในขั้นรุนแรงจนทำให้ตามัวหรือมองไม่เห็น
“ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงของโรคต้อหิน ได้แก่ ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีสายตาสั้นมาก ผู้ที่เคยผ่าตัดหรือได้รับอุบัติเหตุเกี่ยวกับดวงตา รวมถึงผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นต้อหิน จึงควรได้รับการตรวจคัดกรองทุก 1 – 2 ปี สำหรับผู้ที่อายุ 60 ปี ควรได้รับการตรวจตาเป็นประจำทุก 1 ปี ซึ่งหากตรวจพบเร็วจะสามารถรักษาไม่ให้ตาบอดได้ ” รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าว
ด้านรศ.นพ.ปริญญ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับสถานการณ์โรคต้อหินทั่วโลก พบว่ามีผู้ป่วยจำนวน 56 ล้านคน ซึ่งในอีก 20 ปีข้างหน้า คาดว่าจะมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นเป็น 80 ล้านคน จากการสำรวจประชาชนในกรุงเทพฯ ในปี 53 พบว่า มีคนกรุงเทพฯเสี่ยงเป็นโรคต้อหิน 231,000 คน ทั้งนี้ ต้อหินเป็นโรคของดวงตาที่มีการทำลายขั้วประสาทตา ทำให้มีการสูญเสียลานสายตาอย่างถาวร โดยจะเริ่มที่ขอบด้านนอกก่อน หากไม่รีบรักษาจะทำให้ลานสายตาค่อยๆ แคบลง จนกระทั่งตาบอดในที่สุด
ทั้งนี้ ศูนย์บริการสาธารณสุข 68 แห่ง และโรงพยาบาล 9 แห่ง ในสังกัดกทม. ได้กำหนดจัดกิจกรรมสัปดาห์ต้อหินโลก ระหว่างวันที่ 28 ก.พ. – 5 มี.ค. 54 โดยให้ความรู้เรื่องโรคต้อหินและการป้องกันเพื่อกระตุ้นเตือนให้คนไทยใส่ใจดูแลรักษาสุขภาพดวงตา ป้องกันการสูญเสียการมองเห็นในระยะยาว
ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ