กินผักที่ปลูกในเมือง ปลอดภัยจริงหรือ
ดูเหมือนว่าความสนใจเรื่องการปลูกผักในเมืองจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับความสงสัยที่ค้างคาใจของใครหลายคนว่าปลูกผักกินเองในเมืองปลอดภัยจากยาฆ่าแมลง แต่จะปลอดภัยจากมลพิษต่างๆที่มีอยู่รอบตัวของคนในเมืองจริงหรือ เราลองมาหาคำตอบให้กับความค้างคาใจกัน
สิ่งที่หลายคนเป็นกังวลมากที่สุดสำหรับการปลูกผักในเมือง ก็คือ เรื่องของสารตะกั่ว ซึ่งมาจากควันพิษของรถยนต์ และอาจไปเกาะอยู่ตามพืชผักที่เราปลูก รวมถึงการปนเปื้อนสารตะกั่วในดิน หากอยู่ในบริเวณที่เป็นแหล่งโรงงานอุตสาหกรรม หรืออยู่ในย่านที่การจราจรคับคั่ง ซึ่งพืชอาจดูดซับเข้าไปสะสมอยู่ในตัว และเมื่อเรามารับประทาน ก็อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพตามมาได้ เรียกว่าหนีเสือปะจระเข้นั่นเอง
อันที่จริง คงต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ที่เราผู้อยู่ในเมืองท่ามกลางมลพิษเหล่านี้จะรู้สึกเป็นกังวล ในต่างประเทศ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เขาให้ความสำคัญไม่น้อยเช่นกัน จนถึงขนาดมีการทำการศึกษาวิจัยออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน โดยงานวิจัยที่อยากจะนำมาเล่าให้ฟังนี้ ทำขึ้นโดยมหาวิทยาลัย Cornell แห่งเมืองนิวยอร์ค โดยเขาได้นำเอาดินในบริเวณที่พบว่ามีการปนเปื้อนมาทดลอง รวมถึงได้นำเอาตัวอย่างจากแปลงเกษตรในเมืองหลายแห่งมาร่วมทดลองด้วย
จากการศึกษาวิจัย เขาพบว่า หากนำผักกาดที่ปลูกในดินที่ไม่มีการปนเปื้อนของสารตะกั่ว ไปวางไว้บริเวณที่ได้รับควันพิษจากรถยนต์มากๆ ผักกาดที่ได้นั้นก็จะตรวจพบสารตะกั่วตกค้างอยู่มากกว่าผักที่ปลูกในที่ที่ไม่ได้รับควันพิษจากรถยนต์ อย่างไรก็ตาม เขาได้ทำการทดลองเพิ่มเติม โดยตรวจวิเคราะห์ปริมาณสารตะกั่วที่ตกค้างในผัก หลังจากนำผักมาล้าง เขาพบว่า หากนำผักมาล้างด้วยน้ำเปล่า จะสามารถลดปริมาณสารตะกั่วที่เกาะอยู่ตามใบออกไปได้เล็กน้อย และหากล้างด้วยน้ำเปล่าผสมกับน้ำส้มสายชู 1 % จะสามารถลดปริมาณสารตะกั่วลงได้มากในระดับที่ปลอดภัย ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า ผักที่ปลูกอยู่ในที่ที่มีควันพิษมากๆ นั้นมีสารตะกั่วที่ตกค้างอยู่ตามใบ แต่สามารถที่จะล้างออก และกินได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นต้องปลูกผักในบริเวณที่อยู่ใกล้ถนนที่มีการจราจรคับคั่งจริง ก็ควรเลือกที่ปลูกให้ไกลจากริมถนนให้มากที่สุด และหากเป็นไปได้ก็ควรทำรั้วกั้น เพื่อช่วยกรองมลภาวะทางอากาศลงได้
นอกจากนี้ งานวิจัยชิ้นนี้ยังได้ศึกษาเรื่องผลกระทบของสารตะกั่วที่ตกค้างในดิน ต่อพืชผักที่ปลูกด้วย ผลการศึกษาพบว่า หากในดินมีการปนเปื้อนของสารตะกั่วในปริมาณที่มากพอ พืชที่ปลูกก็สามารถดูดสารตะกั่วเข้าไปสะสมอยู่ในตัวได้ โดยเฉพาะพืชผักจำพวก พืชหัว อย่างแครอท หัวไช้เท้า และผักใบต่างๆ แต่ที่น่าสนใจคือ พืชผักจำพวกที่ให้ผล อย่างมะเขือเทศ ถั่วฝักยาว มะเขือยาว พริกไทย ข้าวโพดนี้ จะไม่พอสารตะกั่วตกค้างอยู่เลย
อย่างไรก็ตาม นอกจากชนิดของพืชผักที่ปลูกแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องอีก โดยหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญและส่งผลต่อปริมาณสารตะกั่วที่พืชจะดูดซับขึ้นไป ก็คือเรื่องของความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยเขาพบว่าผักกาดที่ปลูกในดินที่มีอินทรีย์วัตถุน้อย จะดูดซับสารตะกั่วเข้าไปมากกว่าผักกาดที่ปลูกในดินที่มีอินทรีย์วัตถุอยู่มากถึง 25 % ที่สำคัญ หากในดินมีอินทรียวัตถุมากกว่า 40-50 % พืชผักที่ปลูกจะไม่ดูดซับสารตะกั่วเข้าไปเลย แม้ว่าจะตรวจพบว่าดินมีการปนเปื้อนสารตะกั่วอยู่มากก็ตาม เรียกว่าหากดินดี พืชผักก็ปลอดภัย คนกินก็ปลอดภัย แต่ถ้ารู้สึกเป็นกังวลใจมากนัก ก็แนะนำให้เลือกปลูกผักชนิดกินผล แทนผักที่กินหัว และผักใบ หรืออีกทางเลือกหนึ่งก็คือแนะนำให้ปลูกผักในภาชนะ หรือในแปลงที่ก่อขึ้นใหม่ และใช้ดินที่ปลอดภัยจากการปนเปื้อนแทน
สิ่งสำคัญที่ทำได้ง่าย และไม่ควรมองข้ามไป เพื่อให้คุณกินพืชผักที่คุณปลูกเองได้อย่างสบายใจ ก็คือการล้างทำความสะอาดพืชผักอย่างดีทุกครั้งก่อนกิน ไม่ให้มีเศษดินติดอยู่แม้แต่น้อย โดยแนะนำว่าให้ล้างด้วยน้ำผสมกับน้ำส้มสายชู 1% หรือล้างด้วยน้ำยาล้างผักชีวภาพ หากเป็นผักใบก็ควรล้างผ่านน้ำทุกใบให้สะอาดก่อนนำไปปรุงอาหารด้วย หากเป็นผักกินหัว ก็ควรล้างดินออกให้หมด ปอกเปลือกก่อนกิน เพราะสารพิษมักจะตกค้างอยู่ที่เปลือกผิวเป็นส่วนใหญ่
นอกจากนี้ ขณะทำสวนก็ควรจะหลีกเลี่ยงการกิน หรือดื่มเครื่องดื่มทุกชนิดด้วย และอย่าลืมล้างทำความสะอาดมือและเสื้อผ้าอย่างดีหลังจากทำสวนด้วยนะคะ เพราะอย่าลืมว่าสารพิษเหล่านี้อาจเข้าสู่ร่างกายเราได้โดยตรงเช่นกัน
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้ทำให้ต้องการจะให้หวั่นกลัว หรือวิตกกังวลใดๆ แต่อยากให้หลายคนที่กำลังคับข้องใจได้ไขความกระจ่าง และเรียนรู้หาแนวทางป้องกัน และแก้ไขไปด้วยกัน แม้ว่าเราจะอยู่ในเมือง ที่เต็มไปด้วยปัจจัยเงื่อนไข ข้อจำกัดมากมาย แต่เราก็ยังมีทางเลือก ทางรอด ที่อยู่ในเมืองได้อย่างสอดคล้องและสมดุลมากขึ้นนะคะ
ที่มา : เว็บไซต์สวนผักคนเมือง
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต