การพัฒนาวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 ในไทย
ปัญหาและอุปสรรค การเพิ่มปริมาณการผลิต
คำถามง่ายๆ แต่ตอบได้ไม่ง่ายนักคือ เราควรฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรเท่าไร ในกรณีที่เกิดการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่
ปัจจุบันสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ริเริ่มนโยบายการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลตั้งแต่พ.ศ. 2551 โดยใช้เงินที่ประหยัดได้จากงบประมาณที่ตั้งไว้ในกองทุนเอดส์ ซึ่งส่วนหนึ่งได้จากการทำซีแอลยา
มีข้อมูลการศึกษาวิจัยใน 2 จังหวัด สรุปว่าการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่มีความคุ้มค่าและมีประโยชน์อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในประชากรกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ป่วยสูงอายุที่มีโรคเรื้อรังรวม 7 โรค ได้แก่ โรคหัวใจ ไตวายเรื้อรัง หอบหืด ถุงลมโป่งพอง เบาหวาน ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังรับเคมีบำบัด และอัมพาต
คุ้มค่าเพราะเมื่อคิดค่าวัคซีนเทียบกับค่าใช้จ่ายในการรักษา ลงทุนฉีดวัคซีนจะเสียค่าใช้จ่ายรวมแล้วน้อยกว่ามาก ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ประชากรกลุ่มนี้ ลดภาระเจ้าหน้าที่ครอบครัวไม่ต้องมีภาระและค่าใช้จ่าย
ปี 2551 ฉีดให้กลุ่มผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรังต่อมาขยายถึงผู้มีโรคเรื้อรัง 7 โรคทุกราย ในปี2552 และจะขยายให้ครอบคลุมผู้สูงอายุที่อายุ65 ปีขึ้นไปทุกคนเฉพาะในระบบหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) ในปี 2553 ซึ่งจะต้องใช้วัคซีนราว 5-6 ล้านโดสต่อปี
ปัญหาวัคซีนไม่เพียงพอสำหรับประชากรทุกคน เป็นปัญหาของแทบทุกประเทศ สาเหตุหลักเพราะวัคซีนที่ผลิตทั่วโลกเป็นวัคซีนจากเชื้อตายซึ่งผลิตได้ช้าแทบทั้งสิ้น
ญี่ปุ่นซึ่งมีการพัฒนาการผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่มากว่า 50 ปี ขณะนี้มีโรงงานผลิตวัคซีนนี้ 4 แห่ง จะผลิตได้ถึงสิ้นปีนี้ราว 30 ล้านโดส แต่มีประชากรราว 120 ล้านคน จีนซึ่งมีโรงงานผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 10 แห่ง คาดว่าจะผลิตได้สำหรับราว 65 ล้านคน หรือราว 6%ของ 1,300 ล้านคน
สำหรับไทยซึ่งมีประชากรราว 64 ล้านคนเมื่อปลายเดือนส.ค. ศ.นพ.ประเสริฐ ทองเจริญประธานคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านวิชาการ และยุทธศาสตร์ด้านการแพทย์และสาธารณสุขของกระทรวงสาธารณสุขประกาศว่า มีผู้ติดเชื้อไปแล้วราว 3 ล้านคน
แปลว่า มีประชากรที่มีภูมิคุ้มกันไปแล้วราว3 ล้านคน ยังเหลือที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันกว่า 60 ล้านคน ยังไม่ทราบว่าถึงปลายปีซึ่งคาดว่าจะระบาดระลอกสองจะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกเท่าใด แต่คาดว่าน่าจะไม่เกิน 2 เท่าของที่ติดเชื้อไปแล้ว
เมื่อยังมีผู้ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันร่วม 60 ล้านคนโจทย์สำคัญคือ เราจะมุ่งใช้วัคซีนป้องกันประชากรที่เหลือทุกคน หรือมุ่งเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดมิให้รุนแรง รวดเร็ว และกว้างขวางจนรับมือไม่ไหว ถึงขั้นจะต้องปิดโรงเรียนโรงงาน ห้างร้าน สถานที่ทำงานต่างๆ ทั่วประเทศ ห้ามการชุมนุมเหมือนที่เม็กซิโกต้องทำมาแล้ว
จากการคำนวณของนักระบาดวิทยา คือนพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ซึ่งคำนวณอัตราการแพร่เชื้อของโรคที่เรียกว่าค่า อาร์ศูนย์ (R0 หรือReproduction number) ซึ่งได้จากการสอบสวนการระบาดพบว่า ผู้ป่วยหนักหนึ่งคนจะแพร่เชื้อให้แก่คนอื่นได้กี่คน พบว่ามีค่าประมาณ 1.5-2.0 คำนวณแล้วพบว่า ถ้าจะป้องกันการแพร่ระบาดได้ จะต้องทำให้เกิดภูมิคุ้มกันครอบคลุมประชากรราว 50%
ฉะนั้น เราควรมีวัคซีนไม่น้อยกว่า 100 ล้านโดส ! ซึ่งไม่มีทางที่จะผลิตหรือหามาได้
ขณะนี้เราสั่งจองวัคซีนเชื้อตายจากฝรั่งเศสไว้ได้ 2 ล้านโดส จะมาถึงปลายเดือนธ.ค.ปีนี้ 1 ล้านโดส และกลางเดือนม.ค. ปีหน้า1 ล้านโดส
โรงงานผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ระดับอุตสาหกรรมของเราเพิ่งวางศิลาฤกษ์ไปเมื่อวันที่ 28 ส.ค.นี้เอง ต้องรออีกประมาณ 3 ปีกว่าจะแล้วเสร็จจนผลิตวัคซีนออกมาได้
โรงงานต้นแบบซึ่งเราปรับปรุงเป็นโรงงานกึ่งอุตสาหกรรมจะผลิตได้อย่างสูงสุดราว 5-10 ล้านโดสเท่านั้น จึงจำเป็นต้องเร่งสร้างโรงงานเพิ่ม เป้าหมายของเราไม่สามารถกำหนดเป็นตัวเลขได้ว่าจะได้เท่าไร เพราะเราเป็น “มือใหม่” ต้อง “ทำไป พัฒนาไป”
จึงตั้งเป้าหมายว่า จะต้องพยายามผลิตออกมาให้ได้เร็วที่สุดและมากที่สุด เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดเท่านั้น ไม่อาจผลิตให้ครอบคลุมทุกคนที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันได้
ด้วยเวลาที่เร่งรัด เราไม่มีทางเลือกวิธีสร้างโรงงานใหม่ขึ้น แต่จะต้องใช้วิธีปรับปรุงโรงงานที่มีอยู่เดิมแทน จุดแรกที่เราพิจารณา คือโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักขององค์การเภสัชกรรมเองที่ถนนพระรามหก เมื่อได้ปรึกษาเรื่องนี้กับ ดร.อีริค ด็องต์ ที่ปรึกษา ได้ข้อสรุปว่า โรงงานแห่งนี้น่าจะปรับปรุงเพื่อเป็น สถานที่สำหรับควบคุมคุณภาพของวัคซีนที่จะผลิตขึ้นมากกว่า
จุดที่หนึ่งที่เราพิจารณา คือมหาวิทยาลัยมหิดล ที่ศาลายาแต่เมื่อเข้าไปดูสถานที่แล้วสรุปว่าไม่เหมาะ
จุดที่สองคือ โรงงานผลิตวัคซีนสำหรับสัตว์ของกรมปศุสัตว์ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมาโรงงานแห่งนี้ได้พิจารณามาตั้งแต่ต้น
ทั้งนี้ เพราะหลังจากแผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ปัญหาการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่ฉบับแรก พ.ศ.2548-2550 ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ได้ศึกษาแผนยุทธศาสตร์ในเรื่องวัคซีนจนแล้วเสร็จ สรุปทางเลือกไว้ 4 ทาง ได้แก่ 1) การซื้อวัคซีนสำเร็จรูปเข้ามาใช้ 2) การซื้อวัคซีนเข้ามาบรรจุ 3) การปรับปรุงโรงงานวัคซีนสำหรับสัตว์ที่ปากช่อง และ 4) การสร้างโรงงานผลิตวัคซีนขึ้นใหม่ ทั้งนี้คณะผู้ศึกษามีความเห็นชัดเจนสนับสนุนการเลือกใช้โรงงานที่ปากช่องมาปรับปรุงเพราะจะรวดเร็วและใช้งบประมาณน้อยที่สุด
เมื่อมีการพิจารณาเรื่องนี้ตอนต้นปีพ.ศ.2550 ได้สอบถามความเห็นไปยังผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลก ได้รับคำตอบว่า ไม่แนะนำให้เลือกวิธีนี้ ด้วยเหตุผล 2 ข้อ คือ1) โรงงานวัคซีนสัตว์มีขั้นตอนการดูแลเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนน้อยกว่าโรงงานวัคซีนคน 2) จะมีปัญหาเรื่องการยอมรับของประชาชน แต่ก็ไม่ห้ามหากจะเลือกแนวทางนี้ถ้ามั่นใจว่าสามารถแก้ปัญหาทั้งสองได้
พิจารณาแล้วเห็นว่านอกจากปัญหาที่กล่าวแล้ว ขั้นตอนการเจรจาขอโรงงานมาใช้ คงจะยุ่งยากและเสียเวลามาก ข้อสำคัญอาจจะต้องเตรียมหาโรงงานใหม่ให้แก่กรมปศุสัตว์ด้วย ดีไม่ดีจะเสียเวลาและงบประมาณมากกว่าการสร้างใหม่เสียอีก
ในที่สุดเราจึงเลือกเสนอโครงการสร้างโรงงานแห่งใหม่แทน ทั้งนี้เรามิได้ละเลยการพิจารณาใช้ประโยชน์จากโรงงานที่ปากช่องไปเสียทั้งหมด เราได้ขอให้ ดร.อีริค ด็องต์ เข้าไปดู ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปที่จะเจรจาขอใช้โรงงานที่นั่นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการผลิตคือการฉีดเชื้อลงไข่และการเก็บเกี่ยวผล ทั้งนี้เพื่อให้สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตขึ้น
ต่อมานักวิชาการบางท่านได้พยายามผลักดันให้กลับไปใช้โรงงานแห่งนี้อีกครั้ง เราจึงได้ติดต่ออธิบดีกรมปศุสัตว์ซึ่งตอบรับด้วยดี แต่ก็พบกับการต่อต้านอย่างรุนแรงและรวดเร็วกลายเป็นปัญหาทางการเมือง โดยมีการต่อต้านจากคนในพื้นที่ด้วยการสร้างกระแสข่าวว่าจะมีเชื้อโรคแพร่จากโรงงาน !
เมื่อได้ขอความเห็นจากองค์การอนามัยโลกอีกครั้งหลังจากเริ่มมีการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แล้ว องค์การอนามัยโลกยืนยันจุดยืนเดิม เราจึงยอม “ถอย”จากความพยายามเรื่องนี้ เพราะลำพังปัญหาทางเทคนิคก็หนักหนาสาหัสพอแล้ว หากจะต้องต่อสู้กับปัญหาการต่อต้านจาก “เจ้าของบ้าน” และปัญหาการเมือง คงรับมือไม่ไหว
โชคดีที่นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม หูตาไวมาก ไปพบโรงงานต้นแบบของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี วิทยาเขตบางขุนเทียน ซึ่งสร้างเสร็จแล้ว สามารถเข้าไปปรับปรุงสามารถเริ่มผลิตวัคซีนได้
เมื่อไปดูโรงงาน โดยศ.ดร.ไกรวุฒิ เกียรติโกมล อธิการบดีและทีมงานให้การต้อนรับอย่างดี จึงได้ลงมือออกแบบโรงงาน คู่ขนานกับการเจรจาในรายละเอียดกับทางมหาวิทยาลัย
ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยได้เห็นชอบในหลักการเมื่อวันศุกร์ที่ 28 ส.ค. พ.ศ. 2552 แต่การเจรจาต่อมาพบปัญหาอุปสรรคหลายประการ ทำให้ต้องหาทางเลือกใหม่ โดยอาจต้องใช้วิธีไปสร้างโรงงานอีกแห่งหนึ่งที่ทับกวางแทน
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
Update: 13-10-09
อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร