‘กลุ่มดอกหญ้า’ออกค่ายเรียนรู้หยุดไฟป่า
ค่ายสร้างสุขเรียนรู้หยุดไฟป่า จากหมู่บ้านโลกสีเขียว ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง สสส. และมูลนิธิโกมลคีมทอง เปิดพื้นที่ให้โอกาสนำงานค่ายอาสาพัฒนา มาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาศักยภาพนิสิต
คงปฏิเสธได้ยากสำหรับปัญหาหมอกควันทางภาคเหนือของไทยที่เกิดขึ้นต่อเนื่องทุกปีและในปีนี้ก็ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ปัญหาดังกล่าวมาจากหลายสาเหตุ เช่นไฟป่าจากธรรมชาติ และการเผาป่าที่ไม่มีผู้ควบคุม ตลอดจนการเผาเพื่อต้องการที่ทำกิน ถึงแม้จะมีหลายหน่วยงานทุ่มงบประมาณเพื่อแก้ปัญหา แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถาวร
“กลุ่มดอกหญ้าอาสา ลดปัญหาหมอกควัน” เลือกที่จะเรียนรู้ถึงปัญหาดังกล่าว โดย นายปฏิภาณ ใจนาง นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปี 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาพาณิชยการเชียงราย และ ประธานกลุ่มดังกล่าว เปิดเผยว่าหลังจากได้รับส่งเสริมจากโครงการค่ายอาสาพัฒนาสร้างเสริมสุขภาวะ ปี 2555 หรือที่ชาวค่ายเรียกกันสั้นๆ ว่า “ค่ายสร้างสุข ปีที่ 7 ” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิโกมลคีมทอง เปิดพื้นที่ให้โอกาศนำงานค่ายอาสาพัฒนา มาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาศักยภาพนิสิต นักศึกษา ซึ่งได้ออกไปเรียนรู้นอกห้องเรียนมีโอกาสสัมผัสกับความเป็นจริงของสังคม
นายปฏิภาณ กล่าวว่าการออกค่ายในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 20 คน ซึ่งเลือกลงพื้นที่หมู่บ้านห้วยหินลาดใน ห้วยหินลาดนอก และผาเยือง ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย เพราะมีผืนป่ารวมแล้วกว่า 20,000 ไร่ การดูแลป่าของชาวบ้านที่นี่เข้มแข็งจนได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียว มีกระบวนการดูแลป่าที่ชัดเจน ผืนป่ามีความสมบูรณ์ ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากปัญหาหมอกควัน แต่ในพื้นที่ก็ไม่มีปัญหาเรื่องไฟป่า เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวปากะญอ ที่มีความผูกพันธ์กับป่าเป็นพิเศษจึงมีการดูแลรักษาป่าเป็นอย่างดี เช่นมีการจัดตั้งคณะกรรมการอนุรักษ์ป่าอย่างจริงจัง
“เราได้ทำการศึกษาป่าต้นน้ำ เรียนรู้วิถีชีวิตชุมชน ที่สำคัญไปกว่านั้นคือได้มีโอกาสทำแนวป้องกันไฟป่าเพื่อลดปัญหาหมอกควัน และได้ร่วมดับไฟป่าในพื้นที่ด้วย การดับไฟป่าในครั้งนี้ทำให้เราเห็นถึงความยากลำบากเพราะต้องแบกน้ำเป็นแกลอนเดินเข้าไปในป่าลึก ระหว่างการเดินทางชาวบ้านเล่าว่าปัญหาหมอกวันที่เกิดจากไฟป่าที่เกิดโดยธรรมชาติ ซึ่งจะเกิดในที่เดิมๆ ทุกปี สามารถควบคุมได้โดยการทำแนวกันไฟ ส่วนไฟป่าที่เกิดจากมนุษย์มี 2 อย่างคือ 1. การเผาแบบทำลาย ตั้งใจเผาเพื่อเปิดพื้นที่ทำการเกษตรของคนนอกชุมชน หรือแม้กระทั่งการกลั่นแกล้งกันระหว่างหมู่บ้าน และ 2. ชาวบ้านเรียกว่าการ “ชิงเผา” ซึ่งวิธีนี้จะมีคนคอยควบคุมดูแลไม่ให้ไฟลุกลามจนทำลายต้นไม้ใหญ่ และขยายวงกว้างจนเกินพื้นที่ที่ต้องการใช้งาน” นายปฏิภาณ อธิบาย
อย่างไรก็ตามประธานกลุ่มดอกหญ้าอาสาฯ ยังอธิบายว่าประสบการณ์ในครั้งนี้ทำให้เห็นปัญหาที่แท้จริงมากขึ้น ว่าการอนุรักษ์ป่าต้องช่วยกันดูแลทุกฝ่าย ไม่ใช่กลุ่มกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ได้ปฏิญาณกับตัวเองว่าจะช่วยกันรักษาป่าและช่วยกระจายความรู้ที่ได้มาเพื่อลดปัญหาหมอกควันต่อไป
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก