กรุงเทพฯ กำลังเปิดประตูสู่มหานครแห่งความหลากหลาย…ที่โอบรับทุกหัวใจ

ที่มา: เวที Trans Pride Thailand 2025 ระหว่างวันที่ 23 – 24 มิ.ย. 68 ณ Park Silom

                   เราต่างทราบดีกว่า กรุงเทพฯ คือ เมืองหลวงที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ประกอบไปด้วยประชากรกว่าสิบล้านคนที่มีความหลากหลายในทุกมิติ รวมถึงความหลากหลายทางเพศ

                   ซึ่งวันนี้ กรุงเทพฯ กำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกทัศน์​ และปรับตัวเพื่อกลายเป็น “เมืองสำหรับทุกคน”

                   นอกจากจะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมแล้ว วันนี้กรุงเทพฯ กำลังกลายเป็นพื้นที่ที่สะท้อนพลังของสังคมในการขับเคลื่อนเรื่อง “ความหลากหลาย” โดยเฉพาะประเด็นเรื่องเพศสภาพ และสิทธิของกลุ่ม LGBTQIA+ ที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง และกำลังถูก “ปลดล็อก” ทีละน้อย

                   “เมืองสำหรับทุกคน”: จุดยืนที่ชัดเจนจากใจกลางมหานคร

                   บนเวที Trans Pride Thailand 2025 เวทีปิดท้ายการเฉลิมฉลองเดือนแห่งความหลากหลาย Pride Month ที่ผ่านมา ในงานได้รวมเสียงจากภาครัฐ ภาคเอกชน และกลุ่มผู้มีประสบการณ์จริง ร่วมขับเคลื่อนข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองหลวงแห่งความหลากหลาย ปลอดภัย และส่งเสริมสุขภาวะของทุกเพศอย่างยั่งยืน

                   รองศาสตราจารย์ ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ประกาศจุดยืนที่ชัดเจนว่า กรุงเทพมหานครกำลังมุ่งสู่การเป็นเมืองที่เปิดรับความหลากหลายทางเพศและสังคมอย่างกว้างขวาง โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมสุขภาพและความก้าวหน้าทางสังคมในทุกมิติ นี่ไม่ใช่แค่คำกล่าวสวยหรู แต่เป็นการตอกย้ำว่า กทม. ต้องการก้าวข้ามทุกข้อจำกัดในเรื่องสิทธิและความเท่าเทียมของคนข้ามเพศ

                   แน่นอนว่า กทม. ไม่ได้พูดลอย ๆ แต่ได้ลงมือทำจริง! เริ่มจากเรื่องใกล้ตัวอย่าง การแต่งกายตามเพศสภาพ ของข้าราชการ กทม. ที่วันนี้เปิดโอกาสให้แสดงออกได้อย่างเสรีภายใต้กรอบความเหมาะสม นี่คือก้าวเล็ก ๆ ที่สะท้อนถึงการยอมรับและเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน

                   “BKK Pride Clinic”: เมื่อสุขภาพและความหลากหลายมาบรรจบกัน

                   อีกหนึ่งความพยายาม คือ การขยายโอกาสด้านสุขภาพสำหรับกลุ่มคนข้ามเพศ ด้วยการเปิด BKK Pride Clinic ถึง 31 แห่ง คลินิกเหล่านี้ไม่ได้แค่ให้คำปรึกษา แต่ยังดูแลสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางเพศ ให้ความรู้เรื่องฮอร์โมน การผ่าตัดแปลงเพศ ไปจนถึงการดูแลสุขภาพจิต ซึ่งคลินิกดังกล่าว ยังเป็นความร่วมมือระหว่าง กทม. กับ สสส. และเครือข่ายภาคีต่าง ๆ ที่เข้ามาเสริมทัพ ร่วมจัดกิจกรรมสุขภาวะให้กับคนหลากหลายทางเพศ และสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้คนข้ามเพศ เพราะเชื่อว่าไม่ว่าจะเพศไหน ก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับบริการสุขภาพที่ดีและเท่าเทียมกัน

                   โรงเรียนต้องปลอดภัยและหลากหลายทางเพศได้

                   อีกการเปลี่ยนแปลงที่ควรเริ่มต้น คือ รั้วสถานศึกษา เริ่มจากเรื่องของการ “แต่งกายตามเพศสภาพ” ในสถานศึกษา แม้ที่ผ่านมายังคงเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดถึง และแม้จะยังมีกระแสความขัดแย้งอยู่บ้าง

                   มีเสียงสะท้อนจาก “น้องฟาร์ม” ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของเพื่อนสมัยเรียนที่เป็น LGBTQIA+ ที่ถูกตัดผมเพียงเพราะเพศสภาพ สะท้อนให้เห็นถึงความเจ็บปวดและความไม่เท่าเทียมที่ยังคงมีอยู่ในสังคม ทั้งที่เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะชีวิตหลายคนอาจต้องสูญเสียชีวิตหรืออนาคตไปเพราะสังคมไม่เปิดกว้างพอ

                   ซึ่งในความเจ็บปวดนั้นเอง ก็เป็นพลังให้ชุมชน LGBTQIA+ ออกมารวมตัวกันเรียกร้อง เพื่อผลักดันให้กฎหมายและสังคมเกิดการยอมรับมากยิ่งขึ้น

                   สุริยา กลิ่นชื่นบาน ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ กล่าวว่า กทม. มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะให้สังคมเข้าใจในเรื่องความหลากหลายตั้งแต่เริ่มต้น เพราะเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะท้อนถึงพลังของสังคมที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเพื่อความเท่าเทียม โดยยังย้ำจุดยืนว่า “โรงเรียนต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยและเปิดกว้างพร้อมสำหรับความหลากหลายทางเพศ” ซึ่งก้าวแรกในวันนี้คือการเปิดกว้างให้นักเรียนข้ามเพศมีสิทธิ์แต่งกายตามเพศสภาพอย่างเสรี นี่คือก้าวสำคัญที่ทำให้การเรียนรู้ในรั้วโรงเรียนเต็มไปด้วยความเข้าใจและยอมรับ

                   เมื่อทุกภาคส่วนร่วมมือ: ร่างอนาคตของเมืองที่ “เข้าใจ”

                   อีกหนึ่งไฮไลต์จากเวที คือการเสวนาแลกเปลี่ยนมุมคิด ผ่านประเด็น “กรุงเทพปลอดภัย ไม่เลือกปฏิบัติ ส่งเสริมสุขภาวะ เพื่อคนข้ามเพศ”

เริ่มจากเสียงคนภาคสาธารณสุขใน กทม. อย่าง นพ.เกรียงไกร ตั้งจิตรมณีศักดา ที่ย้ำว่าการดูแลสุขภาพของคนข้ามเพศคืออีกพันธกิจหลักของ กทม. โดยเฉพาะสุขภาพจิต ภายใต้แนวคิดที่ว่า ทุกคนควรเข้าถึงการบริการสุขภาพที่เหมาะสมอย่างเท่าเทียมได้

                   ขณะที่ พรรณี ชัยโพธิ์ศรี ผู้อำนวยการส่วนป้องกันและควบคุมโรค สำนักงานโรคติดต่อทางสาธารณสุข กล่าวว่า กทม. มุ่งมั่นให้ทุกคนเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียม โดยไม่แบ่งแยกเพศ เพราะความหลากหลายคือความสวยงาม การเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียมก็คือสิทธิของทุกคน จึงได้ส่งเสริมให้มี Pride Clinic ที่ให้บริการด้านสุขภาพสำหรับกลุ่ม LGBTQIA+ และคนข้ามเพศโดยเฉพาะ เพื่อส่งเสริมให้เข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ

                   มัทนา ถนอมพันธุ์ หอมลออ คณะกรรมการกำกับทิศทางการลดความรุนแรงบนฐานเพศ และสร้างเสริมสุขภาวะ กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส.

                   กล่าวว่า สสส.ให้ความสำคัญการเสริมสร้างสุขภาวะของคนทุกคนบนแผ่นดินไทย รวมถึงสุขภาวะของคนหลากหลายทางเพศ เพราะเชื่อว่าเราทุกคนเท่าเทียมกัน ที่ผ่านมา สสส.และภาคีเครือข่ายสนับสนุนการเสริมสร้างความเข็มแข็งให้เครือข่ายครอบครัวที่มีบุตรหลานหลากหลายทางเพศ พร้อมสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ให้ได้รับสิทธิความเท่าเทียมในฐานะพลเมืองทั้งทางสังคมและด้านสาธารณสุข มีสุขภาวะทางสุขภาพที่ดี ทั้งร่างกาย จิตใจ ปัญญา และการมีชีวิตอยู่ในสังคม ไม่ถูกตีตราว่ามีความแตกต่าง

                   เสียงสะท้อนแห่งความหลากหลาย

                   พร้อมกันนี้ มีเสียงสะท้อนจากพี่น้องตัวแทนข้ามเพศและผู้มีความหลากหลายทางเพศจากหลากหลายอาชีพ ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ความไม่เท่าเทียมยังคงเป็นสิ่งที่กลุ่มคนข้ามเพศต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการถูกเลือกปฏิบัติ การไม่ได้รับความเข้าใจจากสังคม หรือแม้กระทั่งในครอบครัว หลายครั้งปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต และความรู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ สิ่งเหล่านี้เน้นย้ำว่า แม้กฎหมายจะเริ่มเปิดทาง แต่การสร้างความเข้าใจและการยอมรับจากสังคมยังคงเป็นสิ่งสำคัญ

                   อัญชณาภรณ์ พิลาสุตา จากมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING) ที่แบ่งปันประสบการณ์ตรงในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับชุมชน Trans ย้ำว่า ไม่มีอาชีพใดต้อยต่ำ รวมถึงคนอาชีพด้านเพศ เพราะ “Sex work is work”

                   ประภาพร ผลอินทร์ ตัวแทนไรเดอร์ LGBTQIA+ เล่าว่าที่ผ่านมาก็ไม่ใส่ใจหรือเห็นความสำคัญในเรื่องการดูแลสุขภาพมากนัก แต่จากการได้เข้าร่วมโครงการหนึ่งกับ สสส. นั่นคือ Healthy Rider ซึ่งทำให้ได้ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพ และสร้างสุขภาวะ

                   “ได้รับความรู้จากทีมนักกายภาพ นักจิตวิทยา ทำให้เราได้รู้จักโรค การดูแลสุขภาพ รู้จักว่าโรค NCDs  คืออะไร ปัญหาสุขภาพที่มาจากโรคอ้วนลงพุง นอกจากทำให้เราหันมาดูแลสุขภาพตัวเองแล้ว เรายังอยากจะส่งต่อความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพที่ดีให้ เพื่อนไรเดอร์ด้วยกัน ซึ่งปัจจุบันนี้ ไม่ได้จำกัดเฉพาะในพื้นที่ กทม. แต่ยังขยายไปฉะเชิงเทรา กระบี่ และลพบุรี”

                   เธอยังเรียกร้องให้ “ไรเดอร์ LGBTQIA+  ต้องมีสิทธิเข้าถึงสุขภาวะที่มีคุณภาพ เท่าเทียมกับแรงงานทุกกลุ่ม”

                   จุไรรัตน์ วงศ์ลา ตัวแทน LGBTQIA+  ผู้พิการทางหู เธอเล่าว่า ในภาษามือของไทย ไม่มีคำว่า “คนหลากหลายทางเพศ” หรือ “คนข้ามเพศ” จึงเน้นย้ำว่า “สุขภาวะที่เข้าถึงได้ ต้องมี ‘ภาษามือไทย’ เพื่อคนหูหนวกข้ามเพศด้วย”

                   เสียงที่ทรงพลังเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนความหลากหลายแท้จริงในสังคมไทย แต่ยังต่างตระหนัก เข้าใจและยอมรับว่า “การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา” และด้วยความร่วมมือ การสร้างเครือข่ายจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม จะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมให้เดินหน้า

                   อนาคตที่ยั่งยืน: สังคมที่ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

                   แม้ว่าวันนี้กฎหมายจะเริ่มเปิดทาง และสังคมกำลังก้าวไปสู่จุดที่ความหลากหลายทางเพศได้รับการยอมรับและให้เกียรติมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังมีเรื่องที่ต้องพัฒนาต่อไป เช่น แม้แต่ภาษามือก็ยังไม่มีคำว่า “ความหลากหลายทางเพศ” สะท้อนให้เห็นว่ายังมีช่องว่างที่เราต้องเติมเต็ม

                   กรุงเทพมหานครกำลังเปลี่ยนจุดยืนจากการเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมยาวนาน ไปสู่การเป็นเมืองที่สังคมเปิดรับกฎหมายและเปิดกว้างมากขึ้น “ถ้าเรายอมรับความแตกต่างได้ สังคมจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข” นี่คือเป้าหมายสูงสุดที่ทุกคนร่วมกันสร้างสรรค์ เพื่ออนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคน และสร้างพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่

Shares:
QR Code :
QR Code