กทม. สานพลัง สสส.-Nudge Thailand เปิดหลักสูตร “อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน” รับมือกับภาวะน้ำหนักเกินและส่งเสริมสุขภาวะของเด็ก
ที่มา: โครงการ “Cities for Better Health”

สถานการณ์น้ำหนักเกินเกณฑ์ในเด็กนักเรียน กลายเป็นวาระเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข เมื่อ กทม. สำรวจพบ 437 โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร พบ นักเรียนมีน้ำหนักเกินเกณฑ์สูงถึง 20 % จากยอด 220,000 คน ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่าการออกกำลังกายในชั่วโมงพละ หรือการจัดกีฬาสีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป นี่คือจุดเริ่มต้นของการผนึกกำลังครั้งสำคัญระหว่าง กรุงเทพมหานคร (กทม.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ และ Nudge Thailand ร่วมพัฒนาและเปิดตัวหลักสูตร “อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน” ซึ่งจะเริ่มใช้ในภาคการศึกษาที่ 2 ของปีการศึกษา 2568

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลาย จึงทำให้คนส่วนมากอาจจะเคลื่อนไหวน้อย ทำให้เป็นเมืองที่มีคนที่น้ำหนักเกินสูงที่สุดในไทย ซึ่งโรคอ้วนถือเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญ เพราะนำไปสู่ปัญหาที่ตามมาอีกมากมาย ทั้งโรคหัวใจ เบาหวาน หลักสูตร “อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน” คือผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและเป็นหัวใจสำคัญของความพยายามในการจัดการโรคอ้วนในเด็กนักเรียน กทม. ภายใต้โครงการ “Cities for Better Health” โดยมี สสส. โดยแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ และ Nudge Thailand เข้ามาเป็นพันธมิตรเชิงเทคนิคในการพัฒนาเนื้อหาหลักสูตร ร่วมกับ กทม. และ โนโว นอร์ดิสค์ จากประเทศเดนมาร์ก ทั้งนี้ กทม. จะเริ่มนำหลักสูตรไปใช้ตั้งแต่ภาคการศึกษาที่ 2 ของปีการศึกษา 2568 จากกลุ่มโรงเรียนนำร่อง 18 แห่ง จากนั้นจะขยายไปให้ครบ 437 โรงเรียนภายใน 4 ปี
ทั้งนี้ ภายในงาน ดร.ดนัย หวังบุญชัย ผู้จัดการแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างสรรค์สุขภาพ สสส. ได้กล่าวถึงความสำคัญของหลักสูตร “อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน” นี้ว่า หัวใจสำคัญของหลักสูตรนี้ คือการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและพฤติกรรมอย่างยั่งยืน ปัญหาที่ผ่านมาคือ เด็กอาจมีความรู้ แต่ไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง หลักสูตรใหม่นี้จึงมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมเป็นหลัก
ทลายกำแพง “โรงเรียน” สู่ “ตู้เย็นที่บ้าน”
ความท้าทายที่ ดร.ดนัย หวังบุญชัย ผู้จัดการแผนงานสื่อศิลปวัฒธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สสส. ระบุจากการทำงานโครงการนี้มากว่า 8 ปี คือ เด็กทำได้ดีที่โรงเรียน แต่พอปิดเทอมกลับไปบ้าน น้ำหนักก็กลับมาเหมือนเดิม “โครงการเราปีที่ 1 ปีที่ 2 ประสบความสำเร็จในโรงเรียนสูงมาก แต่พอเด็กปิดเทอมกลับไปที่บ้าน คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครอง เราก็เลยมีกระบวนการใหม่” ดร.ดนัย กล่าว ปัญหาคือ โรงเรียนควบคุมอาหารได้เพียง 1 มื้อ (มื้อกลางวัน) แต่อีก 2 มื้ออยู่ที่บ้าน หลักสูตรใหม่นี้จึงออกแบบกิจกรรมที่เชื่อมโยงบ้านและโรงเรียนเข้าด้วยกันอย่างเข้มข้น
ทั้ง สสส. และ กทม. มีกิจกรรมไฮไลต์ร่วมกันคือ “สำรวจตู้เย็น” หรือ “คุณครูตู้เย็น” โดยให้เด็กกลับไปสำรวจตู้เย็นที่บ้านร่วมกับผู้ปกครอง เพื่อวิเคราะห์ว่ามีอะไรที่จำเป็นต่อสุขภาพบ้าง แล้วบันทึกลงในสมุดสุขภาพ จากนั้นผู้ปกครองจะถูกเชิญให้มาแบ่งปัน “เมนูชูสุขภาพ” ที่ลูกชอบและมีประโยชน์ที่โรงเรียนด้วย

สอดคล้องกับ นายภานุวัฒน์ สัจจะวิริยะกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง Nudge Thailand ที่เสริมว่า หน้าที่ของพวกเขาคือการช่วยเปลี่ยนความรู้ให้กลายเป็นพฤติกรรม เช่น หากเด็กอยากทานของอร่อย ก็อาจแนะนำให้ กินน้อยลง และ แบ่งเพื่อน ซึ่งนอกจากจะลดปริมาณการบริโภคแล้ว ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนด้วย นี่คือการเปลี่ยนเด็กให้เป็นผู้สื่อสารสุขภาพกับผู้ปกครอง เช่น ให้เด็กมีส่วนร่วมในการวัดความเค็มหรือความหวานของอาหารที่บ้าน เพื่อสร้างการตระหนักรู้ร่วมกันทั้งครอบครัว
ปั้น “เด็กแกนนำ” สู่ “Change Agent” ชุมชน
ในโรงเรียน หลักสูตรนี้จะถูกบูรณาการเข้าไปใน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ เพื่อทำให้การเรียนรู้เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องสนุก ไม่น่าเบื่อ ดร.ดนัย หวังบุญชัย ผู้จัดการแผนงานสื่อศิลปวัฒธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สสส. กล่าวว่าการพัฒนาหลักสูตรจะเป็นแบบ Active Learning ปั้น “เด็กแกนนำ” ให้เด็กพูดภาษาเด็กกันเอง เช่น การนำเสนอเมนูชูสุขภาพโดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่น หรือการประดิษฐ์อุปกรณ์ออกกำลังกายจากวัสดุเหลือใช้ กิจกรรม “เมนูชูสุขภาพ” ที่เด็กต้องรวมกลุ่มกันคิดเมนู ออกแบบจานอาหาร คำนวณแคลอรี่ และนำเสนอประโยชน์ต่อร่างกาย
วิสัยทัศน์ของโครงการนี้ไม่ได้หยุดแค่ตัวเด็กและครอบครัว แต่ตั้งเป้าให้เด็กแกนนำมัธยมสามารถขยายผลเป็น “Change Agent” สู่ชุมชนได้ เช่น การไปให้ความรู้ชาวบ้านในชุมชนเรื่องโภชนาการ หรือการช่วยปรับสูตรอาหาร
ดร.ดนัย สรุปว่า เป้าหมายสูงสุดของการเปลี่ยนแปลง คือ การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดทั้งในระดับบุคคล เด็กเยาวชน ครู ผู้บริหาร ไปจนถึงการผลักดันเชิงโครงสร้าง การสร้างผลกระทบเชิงบวกไปยังสภาพแวดล้อม



