World Obesity Day แนะ 7 วิธี ห่างไกลโรคอ้วน

ที่มา : เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ

                   นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ หรือคุณหมอแอมป์ นายกสมาคมแพทย์ฟ้นฟูสุขภาพและส่งเสริมการศึกษาโรคอ้วน กรุงเทพ (BARSO) และประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก เปิดเผยถึงประเด็นปัญหาเกี่ยวกับโรคอ้วน เนื่องในวันอ้วนโลกซึ่งตรงกับวันที่ 4 มีนาคมของทุกปีว่า โรคอ้วนเป็นภัยคุกคามสำคัญของประเทศไทย จากรายงานความชุกของปัญหาน้ำหนักเกินหรืออ้วนในผู้ใหญ่

                   โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ปี 2565 อยู่ที่ 47.8% เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ซึ่งอยู่ที่ 34.7% สอดคล้องกับรายงานของสำนักโภชนาการ ปี 2563 ที่พบว่า ความชุกของภาวะอ้วนในผู้หญิงอยู่ที่ 46.4% และผู้ชาย 37.8% เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ที่มีความชุกเพียง 41.8% และ 32.9% โดยความชุกของภาวะอ้วนส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพมหานคร

                   5 เรื่องเกี่ยวกับโรคอ้วนที่ควรรู้

                   1.โรคอ้วนจัดเป็นโรคเรื้อรังเช่นเดียวกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หรือโรคความดันโลหิตสูง คือภาวะที่ร่างกายมีไขมันสะสมมากเกินไป จนส่งผลให้ระบบต่าง ๆ ทำงานผิดปกติ เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ปัญหาการเคลื่อนไหวของข้อต่อ ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง รวมไปถึงความผิดปกติทางเมตาบอลิก อย่างระดับน้ำตาลที่เพิ่มสูงขึ้น ความดันโลหิตที่เพิ่มขึ้น การอักเสบในร่างกายที่เพิ่มขึ้น นำไปสู่โรคอื่น ๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็ง เป็นต้น

                   2.น้ำหนักตัวอย่างเดียวบ่งบอกภาวะอ้วนไม่ได้ โดยทั่วไปค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI มักจะถูกใช้เป็นเกณฑ์พิจารณาภาวะอ้วน โดยคนที่มีน้ำหนักเกินจะมี BMI ตั้งแต่ 25 กิโลกรัมต่อตารางเมตรขึ้นไป และคนอ้วนจะมี BMI ตั้งแต่ 30 กิโลกรัมต่อตารางเมตรขึ้นไป แต่แท้จริงแล้ว BMI อาจไม่ใช่เครื่องมือที่แม่นยำมากนัก ในการประเมินภาวะอ้วน เพราะไม่สามารถประเมินองค์ประกอบของร่างกายได้ เช่น บุคคลที่มี BMI เท่ากัน อาจมีสัดส่วนกล้ามเนื้อและไขมันไม่เท่ากัน เช่น นักเพาะกายมีกล้ามเนื้อ มากกว่าคนที่ขาดการออกกำลังกาย

                   ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ BMI ในการวินิจฉัยเพียงอย่างเดียว ควรใช้เครื่องมืออื่นประกอบ อาทิ การวัดเส้นรอบเอว หรือการวัดองค์ประกอบร่างกายด้วยเครื่อง DEXA (Dual-Energy X-ray Absorptiometry) เพื่อประเมินสัดส่วนไขมันทั้งหมดของร่างกาย โดยในกลุ่มวัยกลางคน (อายุ 20-50 ปี) ผู้หญิงไม่ควรมีสัดส่วนไขมันเกิน 32% และผู้ชายไม่ควรเกิน 28%

                   3.โรคอ้วนไม่ใช่แค่การกินอาหารมากเกินไป ผู้คนมักเข้าใจว่า หากเรารับประทานอาหารในปริมาณมากจะทำให้เราน้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ เพราะพลังงานแคลอรี่นั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณอาหาร แต่อย่าลืมว่าอาหารที่มีปริมาณเท่ากัน อาจให้พลังงานที่แตกต่างกัน

                   ดังนั้น การรับประทานอาหารเพื่อป้องกันและรักษาโรคอ้วน ไม่ใช่แค่เพียงการจำกัดปริมาณเท่านั้น แต่ต้อง คำนึงถึงคุณภาพในปริมาณที่เหมาะสม อาหารที่มีใยอาหาร หรือไฟเบอร์สูง เช่น ผัก ผลไม้ หรือธัญพืชไม่ขัดสี มักให้พลังงานน้อยกว่าอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง รวมถึงมีสารอาหารอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น วิตามิน แร่ธาตุ รวมไปถึงสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ เพื่อให้ร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ

                   นอกจากนี้ โรคอ้วนยังเกิดจากหลายสาเหตุรวมกัน ได้แก่ การออกกำลังกาย การนอนหลับ การทำงานของฮอร์โมน รวมถึงรหัสพันธุกรรม ต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลต่อระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ดังนั้น ต้องคำนึงถึงการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตต่าง ๆ ไปพร้อมกัน

                   4.ยิ่งอ้วนจะควบคุมการกินได้ยากยิ่งขึ้น โรคอ้วนเกิดจากความไม่สมดุลในการควบคุมความหิวและความอิ่มของร่างกาย ซึ่งถูกควบคุมด้วย ระบบประสาทและต่อมไร้ท่อ โดยต่อมไร้ท่อจะสร้างฮอร์โมนที่สามารถส่งสัญญาณไปยังสมอง เพื่อบอกว่าเราควรรับประทานอาหารต่อหรือไม่ โดยฮอร์โมนที่สำคัญคือ ฮอร์โมนเลปติน ทำให้ร่างกาย รู้สึกอิ่ม ซึ่งฮอร์โมนนี้ หลั่งจากเซลล์ไขมัน และจะหลั่งมากขึ้นตามจำนวนเซลล์ไขมันในร่างกาย หากเรานอนพักผ่อนไม่เพียงพอจะส่งผลให้การหลั่งฮอร์โมน เลปตินลดลง ความอยากรับประทานอาหารก็จะเพิ่ม มากขึ้น ซึ่งในผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะมีภาวะดื้อต่อฮอร์โมนเลปติน

                   ส่วนฮอร์โมนที่ทำงานตรงกันข้ามกันคือ ฮอร์โมน เกรลิน หรือฮอร์โมนกระตุ้นความหิว จะหลั่งมากในช่วงก่อนมื้ออาหาร และจะหลั่งลดลงเมื่อเริ่มรับประทานอาหาร ในผู้ที่เป็นโรคอ้วน การหลั่งของฮอร์โมนเกรลินจะมีความผิดปกติคือ แม้จะรับประทานอาหาร ไปแล้วแต่ระดับของฮอร์โมนเกรลิน ก็ไม่ลดลง ทำให้ความอยากอาหารไม่ลดลง

                   5.โรคอ้วนเป็นผลจากทั้งพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันมีผู้คนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่า โรคอ้วนเป็นโรคที่เกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม เพราะมักพบว่าหากบุคคลในครอบครัวมีภาวะอ้วนก็จะสืบทอดต่อไปจนถึงรุ่นลูกหลาน แม้จะมี รหัสพันธุกรรมที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคอ้วน เช่น FTO หรือ Fat Mass and Obesity-Associated Gene ก็ตาม แต่รหัสพันธุกรรมไม่ใช่เพียงสาเหตุเดียวของการเกิดโรคอ้วน ปัจจัยที่สำคัญคือ พฤติกรรมการใช้ชีวิต

                   7 แนวทางห่างไกลโรคอ้วน

                   1.เลือกอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยใน 1 จาน ควรประกอบด้วย ผัก 50% โปรตีนคุณภาพดี เช่น ปลา ถั่วและธัญพืช 25% และข้าวไม่ขัดสี 25%

                   2.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงหรือบริโภคแต่น้อยโดยเฉพาะไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัว

                   3.หลีกเลี่ยงเบเกอรี่ และอาหารที่มีน้ำตาลสูง โดยเฉพาะ เครื่องดื่มบางชนิดมีส่วนผสมของ High Fructose Corn Syrup (HFCS) เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้ แยม ลูกกวาด คุกกี้ ไอศกรีม เป็นต้น

                   4.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรืออย่างน้อย 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์

                   5.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพ อย่างน้อย 8-9 ชั่วโมงทุกวันและควรเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม

                   6.งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่

                   7.ผ่อนคลายความเครียด ด้วยการนั่งสมาธิ เดินจงกรม หรือทำกิจกรรมที่ทำให้สมองสงบได้พักผ่อน

                   “ทุกวันนี้คนไทยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มีแนวโน้มเป็นโรคอ้วน รวมถึงภาวะอ้วนลงพุงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ นับเป็นเรื่อง ที่ทุกคนควรตระหนักและให้ความสำคัญ เพราะโรคอ้วนจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ ตามมา จนท้ายที่สุดจะส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิต ดังนั้น จึงขอใช้โอกาสวันอ้วนโลก มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์ต่อสู้กับปัญหาโรคอ้วน เพื่อสร้างสังคมสุขภาพดีไปด้วยกัน และขอย้ำสุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ต้องลงมือทำ” นายแพทย์ตนุพล กล่าวทิ้งท้าย

Shares:
QR Code :
QR Code