why we post เข้าใจโลกใหม่ของ "วัยรุ่นยุควุ่นเน็ต"

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ


ภาพโดย สสส.


why we post เข้าใจโลกใหม่ของ 'วัยรุ่นยุควุ่นเน็ต' thaihealth


ทุกครั้งที่เสียง notification แจ้งเตือน ใครหลายๆ คนเป็นต้องจับโทรศัพท์ เช็กว่า…มีใครทักมาหรือไม่ หากนี่เป็นกิจวัตรประจำวันที่คุณเองก็ขาดไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว กระวนกระวาย นอนไม่หลับ กระส่ายกระสับ ถ้าไม่ได้เช็คโทรศัพท์ก่อนนอน และอาจถึงขั้นหลับไปทั้ง ๆ ที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้นยังคามืออยู่ ฟันธงได้เลยว่า คุณกำลังเกิดอาการติดโซเชียลงอมแงม


ทว่า การโยนบาปให้จำเลยอย่าง 'สื่อสังคมออนไลน์'   หรืออินเทอร์เน็ตว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดวาทกรรม 'สังคมก้มหน้า' อาจไม่ตรงไปตรงมานัก เพราะจากการศึกษาหลายต่อหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า สังคมต่างหากที่มีปัญหากับวัยว้าวุ่น ถ้าการเงยหน้าขึ้นมาเจอกับสังคมที่สร้างมลภาวะขึ้นในใจเขา ก็ไม่แปลกที่คนเราจะเลือกอยู่กับความสุขในจอสี่เหลื่ยม ตรงกันข้ามหากเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับความสุขในโลกโซเชียลได้อย่างสมดุล สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจไม่ใช่ปัญหา


ดังนั้น ความน่าสนใจในการศึกษาจักรวาลวัยรุ่นกับโลกโซเชียลนั้น จึงน่าจะอยู่ที่การหาคำตอบว่าพวกเขาเสพโซเชียลเพื่ออะไรกัน แล้วคอนเทนท์รูปแบบไหนที่ทำให้พวกเขาหลงใหลได้ ซึ่งจากผลสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2561 มีแนวโน้มการใช้เวลาเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 10 ชั่วโมง 5 นาทีต่อวัน โดย Gen Y ครองแชมป์การใช้งานอินเทอร์เน็ตยาวนานที่สุด ซึ่งเป็นผลมาจากช่วงชีวิตที่ปรับเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัล โดยคนรุ่นใหม่นิยมใช้โซเชียลมีเดียอย่าง เฟซบุ๊ค อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ และพันทิป มากถึง 3 ชั่วโมง 30 นาทีต่อวัน


ผลสำรวจนี้ยืนยันได้ว่าวัยรุ่นติดโซเชียลมีจำนวนเพิ่มขึ้นจริง ๆ แต่นอกเหนือไปจากความพยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ต หรือดึงวัยรุ่นออกจากโลกออนไลน์ สังคมน่าจะทำความเข้าใจกระบวนการติดโซเชียลและหาคำตอบว่าพฤติกรรมการใช้โซเชียลของวัยรุ่นนั้นสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง


why we post เข้าใจโลกใหม่ของ 'วัยรุ่นยุควุ่นเน็ต' thaihealth


มีคำกล่าวที่ว่า "เฟซบุ๊คคือพื้นที่ของคนรู้จักแต่คุยกันไม่รู้เรื่อง ในขณะที่ทวิตเตอร์เป็นพื้นที่รวมตัวของคนแปลกหน้าที่คุยเรื่องเดียวกัน" อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ ผู้บริหาร Wongnai ไลฟ์สไตล์แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ แสดงความเห็นในประเด็นโซเชียลมีเดียกับวัยรุ่นในวงเสวนา 'why we post เข้าใจโลกใหม่ของวัยรุ่นยุควุ่นเน็ต' ที่จัดโดย   สสส. และ bookscape


ดูเหมือนนี่จะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เฟซบุ๊คไม่ใช่แพลตฟอร์มออนไลน์ที่น่าตื่นเต้นอีกต่อไป วัยรุ่นหันไปติดตามข่าวสาร ตามเทรนด์ที่ไปไวมาไวทางทวิตเตอร์กันมากขึ้น โดยให้เหตุผลว่าเป็นการตามติดเทรนด์ที่น่าตื่นเต้นและมันส์กว่าแพลตฟอร์มอื่น แฮชแท็กต่าง ๆ ที่ถูกพูดถึงก็มักจะเกิดจากทวิตเตอร์ อีกเหตุผลสำคัญคือ พวกเขาหลีกหนีจากพ่อแม่ที่ก้าวเข้ามาคอยสอดส่องวิถีชีวิตในเฟซบุ๊คมากขึ้น แพลตฟอร์มที่พ่อแม่ยากจะเข้าถึงและเข้าใจอย่างทวิตเตอร์จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ


ในมุมมองของคนผลิตสื่อ อิสริยะ มองว่า วัยรุ่นเขามีความต้องการที่เหมือนเดิมตลอด ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน เพียงแต่ว่าแพลตฟอร์มมันเปลี่ยนเท่านั้นเอง ซึ่งในหนังสือ It's complicated เข้าใจโลกใหม่ของวัยรุ่นยุควุ่นเน็ต ของ ดานาห์ บอยด์ จะมีอยู่ตอนหนึ่งที่เขาชอบมาก อธิบายไว้ว่า การติดโซเชียลของวัยรุ่นนั้น เนื่องจากว่า วัยรุ่นต้องการมีพื้นที่โซเชียลของตนเองในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับทั้งเพื่อนในชีวิตจริงและเพื่อนในออนไลน์ ซึ่งเมื่อก่อนมันคือการไปเดินห้างสรรพสินค้าที่ไหนสักแห่ง และพื้นที่พวกนี้เองหายไปจากวงโคจรของวัยรุ่นด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการจราจร ความเข้มงวดของครอบครัว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องไปแสดงออกที่ไหนสักแห่ง ซึ่งในที่นี้ก็คือพื้นที่ของโซเชียล


เมื่อช่วง 4-5 ปีที่แล้ว อิสริยะ เล่าว่า เขาได้มีโอกาสไปฟังสัมมนาที่สหรัฐอเมริกา ช่วงนั้นมีแอพพลิเคชั่นตัวหนึ่งที่ดังมาก นั่นก็คือ 'สแนปแชท' เป็นต้นฉบับของแอพพลิเคชั่นในลักษณะนี้ที่ส่งข้อความ ภาพ และคลิปวีดีโอ ที่จะทำลายตัวเองในหนึ่งวัน ซึ่งฟีเจอร์นี้เหล่าไอจีสตอรี่และเฟซบุ๊คสตอรี่ลอกเลียนแบบมา


"ผมก็มานั่งลองเปรียบเทียบว่า สมัยเด็ก ๆ เวลานั่งเรียนมันน่าเบื่อ ผมก็วาดรูปในเศษกระดาษแล้วก็ขยำ ๆ ปาให้เพื่อน แล้วเพื่อนก็เปิดดูจากนั้นก็เขียนต่อ และปาให้เพื่อนคนอื่น ถามว่าเราเก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ไหม ก็ไม่ได้เก็บ ที่พูดมามันก็คือการสื่อสารแบบหนึ่ง ซึ่งการสื่อสารแบบสแนปแชทหรือแบบสตอรี่ก็ตาม มันสะท้อนวิธีคิดที่ว่า เราเอาไว้สื่ออารมณ์ สื่อตัวตน โดยที่ไม่ต้องการเก็บสิ่งเหล่านั้นไว้ถาวร" อิสริยะ แสดงความเห็น


why we post เข้าใจโลกใหม่ของ 'วัยรุ่นยุควุ่นเน็ต' thaihealth


ขณะที่ เกรียงไกร วชิรธรรมพร นักเขียนบทและผู้กำกับซีรีส์ 'ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น' ที่เคย 'ปัง' เมื่อหลายปีที่แล้ว ก่อนจะเกือบ 'แป๊ก' กับซีรีส์กีฬาอย่างโปรเจคเอสเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทั้งที่คอนเทนท์ถือว่าดีสำหรับวัยรุ่น บอกว่า มันทำให้เขาต้องทำความเข้าใจกับคนวัยนี้มากขึ้น จากการรีเสิร์ชข้อมูลมากมาย การพยายามทำความเข้าใจกับช่วงวัยว้าวุ่นตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เขามองว่า วัยรุ่นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องคอยทำความเข้าใจใหม่อยู่ตลอดเวลา


"เมื่อก่อนเราจะรู้สึกว่า เขาจะรับมือกับเครื่องมือสื่อสารในโซเชียลไม่เป็น เขายังจัดการกับเครื่องมือที่หลากหลายไม่ได้ ยกตัวอย่างแพลตฟอร์มสื่อสารในยุคปัจจุบัน พวกเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม พวกเขาใช้เครื่องมือเหล่านั้นเพื่อระบายอารมณ์เช่นเดียวกับการเขียนระบายตามผนังห้องน้ำหรือกำแพงโรงเรียนในสมัยที่เรายังไม่มีโซเชียลมีเดีย ในฐานะผู้ใหญ่ที่มองเข้าไป เราจะเห็นว่ามันเป็นอันตรายต่อเด็กวัยนี้ การที่โพสต์หรือแชร์สิ่งต่าง ๆ ในพื้นที่ที่เขาคิดว่ามันเป็นส่วนตัว แต่จริง ๆ แล้ว มันก็ยังคงเป็นสาธารณะ เสี่ยงต่อการถูกแคปไปประจาน" เกรียงไกร เล่าถึงมุมมองก่อนหน้านี้


แต่หลังจากเริ่มศึกษาอย่างจริงจังมากขึ้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายคนคงเห็นตรงกันว่า เด็กทุกวันนี้เสพคอนเทนท์จากทีวีน้อยลงจริง ๆ แต่จะใช้สมาร์ทโฟนในการดูละครย้อนหลังหรือเสพคอนเทนท์ ข่าวสารต่าง ๆ ผ่านเครื่องนี้เป็นหลัก และจะขึ้นอยู่กับยูทูบด้วยเช่นกัน พอซีรีส์ หรือละครเรื่องไหนไม่มีให้ดูในยูทูบ โอกาสในการเข้าถึงของวัยรุ่นก็น้อย


หนำซ้ำวัยรุ่นมองโทรทัศน์ไม่ต่างกับโหลปลาทองที่ตั้งอยู่ในบ้าน เขาจะเปิดค้างไว้อย่างนั้น ในขณะที่หน้าจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่หูของเขาได้ยินสิ่งที่น่าสนใจก็จะเงยหน้าขึ้นมาเพียงครู่หนึ่ง ซึ่งถ้าไม่น่าสนใจพอเขาก็จะหันกลับไป นั่นเท่ากับว่าโทรทัศน์ถูกเปิดทิ้งไว้ โดยที่ไม่ได้มีจุดประสงค์ว่าจะต้องดูละครเรื่องนี้ตอนสองทุ่มครึ่ง


"ช่วงที่รายการ The mask single ประสบความสำเร็จ มันเกิดจากการที่ออนไลน์มา แล้วคนบอกต่อกัน มันเลยเด้งกลับไปที่ทีวีอีกทีหนึ่งว่า ทุกวันพฤหัสบดีสองทุ่มเราจะไม่ยอมถูกสปอย เราจะต้องเปิดดูช่องนี้เพื่อรอดูว่าหน้ากากนี้คือใคร วัฒนธรรมที่เกิดขึ้นนี้กลายเป็นว่าออนไลน์นำทีวี และไม่ใช่ว่าโทรทัศน์ตายแล้ว แต่คอนเทนท์ที่ทำเพื่อโทรทัศน์อย่างเดียวต่างหากที่ตาย คอนเทนท์ที่ไม่ได้คิดเผื่อการพูดถึงในวงที่กว้าง การทำในรูปแบบเดิม ๆ อย่างที่เคยทำมา จึงง่ายที่จะโบกมือลาระหว่างทาง" เกรียงไกร เล่าปรากฏการณ์ที่ออนไลน์ช่วยพยุงสื่อหลักอย่างโทรทัศน์


ทุกวันนี้จักรวาลของวัยรุ่นกว้างกว่าคนยุคก่อนมาก เด็กรุ่นใหม่มีโอกาสที่จะเจอแชลแนลใหม่ ๆ ได้มากมายจากหลายช่องทาง ยกตัวอย่างการกดติดตามแชลแนลในยูทูบของวัยรุ่นที่มียอดเป็นหลักร้อย เพราะเขามองว่าเป็นการติดตามคนที่น่าสนใจ เช่นเดียวกับในเฟซบุ๊คหรือไอจี รู้ตัวอีกทีเป็นร้อย ๆ คนที่เขากดติดตาม กลายเป็นว่าหน้าฟีดหรือหน้าแรกบนยูทูบในแต่ละวันจะมีคอนเทนท์เข้ามาอย่างมหาศาล ซึ่งวัยรุ่นเขาจะมีตัวกรองในหัวของเขาในการเลือกดูคลิปๆ หนึ่ง และมีระบบการให้โอกาสที่สั้นมาก จึงเป็นที่มาให้คลิปบนยูทูบส่วนใหญ่เลือกที่จะตัดไฮไลต์จากเนื้อเรื่องทั้งหมดหรือคำพูดที่ตลก ๆ โดนใจ ที่ไม่จำเป็นต้องปะติดปะต่อกันก็ได้มาไว้ในช่วงเปิดคลิป 10 วินาทีแรก ซึ่งถ้าไม่สามารถดึงความสนใจได้เขาก็จะเปลี่ยนทันที


why we post เข้าใจโลกใหม่ของ 'วัยรุ่นยุควุ่นเน็ต' thaihealth


อย่างล่าสุดที่เกรียงไกรได้เป็นกรรมการตัดสินการประกวดทำคลิปวีดิโอในงาน ๆ หนึ่ง โดยมีโจทย์คือวีดิโอที่ไม่จำกัดรูปแบบ แต่ต้องดึงเอกลักษณ์ของแชลแนลของตัวเองออกมา พบว่าเด็กกรุงเทพฯ จะทำคอนเทนท์ที่เป็นคนเมืองลอกเลียนมาจากซีรีส์ฝรั่งที่ดังในระดับโลก ในขณะที่เด็กต่างจังหวัดวิธีการทำคอนเทนท์เขาจะจริงใจกว่ามาก เขาจะไม่สนใจรูปแบบ ทำให้มันมีความดิบ ความเป็นธรรมชาติสูง


"เรารู้สึกว่าเด็กทุกวันนี้รับมือกับความดิบ ความหยาบได้มากขึ้น เวลาตัดสินเราจะไม่กล้าบอกเขาว่าการความดิบพวกนั้นมันเป็นสิ่งที่ผิด และหลังจากได้รู้เบื้องหลังแชลแนล และไลฟ์สไตล์ของเด็กพวกนั้น เขามียอดผู้ติดตาม ยอดคนดูสูงกว่าซีรีส์ที่เราทำซะอีก แล้วจะไปตัดสินได้อย่างไรว่าสิ่งที่เขานำเสนอมาเป็นรูปแบบที่ผิด กลายเป็นว่ามันไม่ใช่เรื่องของการผิดถูก แต่เขาได้รับการยอมรับในวงกว้าง ซึ่งเราไม่มีทางคิดได้ และหลังจากที่เราเข้าไปดูคอนเทนท์นั้นแล้วอ่านคอมเมนท์รวม ๆ แล้ว มันโดนใจ เพราะเหมือนนั่งดูชีวิตของเพื่อน มันไม่ไกลจากชีวิตของเขาเอง" นักเขียนบทและผู้กำกับซีรีส์วัยรุ่นคนเดิม เล่าถึงคอนเทนท์ที่วัยรุ่นนิยมเสพในบริบทที่ต่างกัน


หลายคนอาจจะมองว่าอาการเสพติดโซเชียล เป็นหนึ่งในโรคออนไลน์ เป็นเรื่องไร้สาระ และมักแสดงความห่วงใยต่อการใช้เวลาเป็นชั่วโมง ๆ หมดไปกับการท่องโลกอินเทอร์เน็ต ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการสื่อสารผ่านโซเชียลก็ไม่ต่างไปจากการสื่อสารด้วยช่องทางอื่น เพียงแค่เราเปลี่ยนแพลตฟอร์มตามยุคที่เทคโนโลยีตอบโจทย์สังคมออนไลน์อยู่ตลอดเวลา


แล้วการกีดกันวัยรุ่นออกจากโซเชียล เป็นทางออกที่ปลายอุโมงค์จริงหรือ หากมองในมุมของวัยรุ่นมันก็เหมือนการจำกัดพื้นที่การเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ นั่นเอง ดังนั้น การกีดกันการใช้อินเทอร์เน็ต เพื่อลดความเสี่ยงในวัยรุ่น จะมาพร้อมกับการลดโอกาสในการใช้ประโยชน์ของเขาด้วยเช่นกัน ดังที่ วินต์ เซิร์ฟ หนึ่งในบิดาอินเทอร์เน็ต กล่าวไว้ "อินเทอร์เน็ตคือภาพสะท้อนสังคมของเรา และกระจกเงาบานนี้จะสะท้อนสิ่งที่เราเห็น ถ้าเราไม่ชอบสิ่งที่เห็นในกระจก ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การซ่อมแซมกระจก แต่เราต้องซ่อมแซมสังคมต่างหาก"


"เมื่อการดึงวัยรุ่นออกจากโลกโซเชียลเป็นไปไม่ได้ ลองตั้งโจทย์ใหม่ อะไรคือเรื่องที่ชอบ แพลตฟอร์มที่ใช่ และจะทำอย่างไรให้เวลาออนไลน์เป็นไปอย่างสร้างสรรค์"

Shares:
QR Code :
QR Code