WHOประกาศโรค”อีโบลา”เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน
ที่มา:เว็บไซต์เดลินิวส์
แฟ้มภาพ
สธ. เข้ม 3 มาตรการหลังองค์การอนามัยโลก ประกาศ 'อีโบลา' เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานข่าวว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ หลังพบการระบาดในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ภายหลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลก และองค์การสหประชาชาติ ได้เข้าไปให้การช่วยเหลือในการป้องกันและควบคุมโรค แต่การระบาดยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนพบการระบาดในพื้นที่ใหม่ จึงออกประกาศดังกล่าว เพื่อระดมความช่วยเหลือจากนานาประเทศ ว่า ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 กระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศกำหนดให้โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาเป็นโรคติดต่ออันตรายที่จะต้องเฝ้าระวังและดำเนินการอย่างเข้มข้น ทั้งนี้ จากการติดตามสถานการณ์โรคติดเชื้ออีโบลาในต่างประเทศมาตั้งแต่มีรายงานผู้ป่วยในช่วงเดือนส.ค.2561 และได้เตรียมพร้อมทั้งการเฝ้าระวังและป้องกันโรคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ในประเทศไทย ไม่มีรายงานผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาแต่อย่างใด
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดระบบเฝ้าระวังและป้องกันโรคมาอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ดังนี้ 1.ติดตามสถานการณ์ความคืบหน้าจากองค์การอนามัยโลก เฝ้าระวังผู้ป่วยโดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือคนไทยที่เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค ทั้งในด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ในโรงพยาบาลภาครัฐและภาคเอกชน และในชุมชน คัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดของโรคทั้งที่ด่านควบคุมโรคที่สนามบิน ด่านทางน้ำและด่านพรมแดนทางบก 2.เตรียมความพร้อมในการตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งไทยได้รับความร่วมมือจากสหรัฐฯ ในการตรวจวิเคราะห์เชื้อไวรัสชนิดนี้ และ 3.มาตรการดูแลรักษา หากมีผู้ป่วยที่มีอาการในข่ายสงสัย โดยใช้มาตรฐานเดียวกับการดูแลผู้ป่วยโรคติดต่อที่มีอันตราย เช่น ไข้หวัดนก โรคซาร์ส ซึ่งโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศมีความพร้อมอยู่แล้ว
นอกจากนี้การเฝ้าระวังโรคติดต่ออันตรายในระดับพื้นที่ ทางกรมควบคุมโรค จะมีการให้ข้อมูลข่าวสารกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ ตลอดจนสื่อสารไปยังอาสาสมัครสาธารณสุข กรณีพบความผิดปกติ เช่น พบเห็นผู้ที่มาจากประเทศที่มีการระบาดของโรค แล้วมีอาการไม่สบาย เป็นไข้ให้รีบแจ้งมาที่กรมควบคุมโรค หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก ยังไม่แนะนำให้จำกัดการเดินทางหรือการค้าระหว่างประเทศสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดของโรคนี้ ซึ่งองค์การอนามัยโลก ประเมินว่านักเดินทางระหว่างประเทศยังมีความเสี่ยงในระดับที่ ต่ำมาก เนื่องจากผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มีการติดเชื้อโดยตรงจากการสัมผัสกับของเหลวในร่างกาย หรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรพ. จากการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ เข็มและหลอดฉีดยาที่ปนเปื้อนเชื้อ รวมถึงไม่มีการป้องกันเมื่อมีการสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่ติดเชื้อ ส่วนคำแนะนำสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาด ดังนี้ 1.หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่า ทั้งที่ป่วยหรือไม่ป่วย 2.หลีกเลี่ยงการรับประทานสัตว์ป่าที่ป่วยตายโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะสัตว์จำพวกลิง หรือค้างคาว หรืออาหารเมนูพิสดารที่ใช้สัตว์ป่าหรือสัตว์แปลกๆ มาประกอบอาหาร 3.การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารคัดหลั่ง เช่น เลือดจากผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วยที่อาจปนเปื้อนกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วย หรือศพ 4.หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย หากมีความจำเป็นให้สวมอุปกรณ์ป้องกันร่างกายและล้างมือบ่อยๆ 5.หากมีอาการเริ่มป่วย เช่น มีไข้สูง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บคอ อาเจียน ท้องเสีย ภายหลังกลับจากประเทศที่มีการระบาด ให้รีบพบแพทย์ทันที.