PES: ทางรอดสีเขียวสู่สุขภาวะสังคมที่ยั่งยืน

ข้อมูลจาก : เวทีสาธารณะ PES Forum 2025 ความร่วมมือเพื่อความยั่งยืนของระบบนิเวศที่ให้ประโยชน์แก่ทุกคน 
ภาพโดย พงศ์ศุลี จีระวัฒนรักษ์ Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ

                  ท่ามกลางความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้นในปัจจุบัน การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมจึงมิใช่เพียงภาระหน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง หากแต่เป็นบทบาทความรับผิดชอบร่วมกันที่ทุกคนจำเป็นต้อง “มีส่วนร่วม” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ทรัพยากรธรรมชาติและผืนป่ากำลังเผชิญกับการคุกคาม บทบาทของผู้พิทักษ์ที่แท้จริง ซึ่งได้แก่ เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการว่าจ้างจากภาครัฐ ชุมชน และชาวบ้านผู้มีวิถีชีวิตผูกพันกับป่ามาอย่างยาวนาน กลับเผชิญกับข้อจำกัดด้านงบประมาณและสวัสดิการที่ขาดแคลน ทำให้ต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก

                  จากสถานการณ์ดังกล่าว แนวคิด “Payment for Ecosystem Services (PES)” หรือ “การจ่ายค่าตอบแทนบริการของระบบนิเวศ” จึงถูกผลักดันให้เป็นกลไกสำคัญในการสร้างความยั่งยืน โดยมุ่งเน้นให้ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ควรมีบทบาทในการ “คืน” หรือชดเชยเพื่อรับผิดชอบการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม เวที PES Forum ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับมูลนิธิธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม (GSEI) และภาคีเครือข่าย จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสานพลังความร่วมมือนี้

                  PES: เปลี่ยนภาระสู่โอกาส สร้างสุขภาวะให้สังคม

                  นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เน้นย้ำว่า สถานการณ์ปัญหาอนามัยสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยมีหลากหลายประเด็น จากผลสำรวจอนามัยโพลระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 29 มิถุนายน 2566 พบว่าภัยพิบัติ 51.8% มลพิษทางอากาศ 46% และการจัดการขยะที่ไม่ดี 45.1% คือปัญหาหลักที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาวะ โดยข้อมูลจาก สสส. ชี้ชัดว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นต้นเหตุของโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้นกว่า 45% นั่นหมายความว่า การรักษาป่าและระบบนิเวศจึงมิใช่เพียงเรื่องของธรรมชาติ หากแต่เป็นเรื่องของสุขภาพของคนทั้งประเทศ

                  “PES” จึงเข้ามาเปลี่ยนมุมมองของการอนุรักษ์จาก “ภาระ” ให้กลายเป็น “โอกาส” ทั้งในมิติของรายได้ สุขภาวะ และสังคม กลไกนี้จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ดูแลทรัพยากรธรรมชาติได้รับค่าตอบแทนอย่างเป็นธรรม สสส. สนับสนุนการประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจของระบบนิเวศอย่างเป็นระบบ พร้อมผลักดันการลงทุนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ผู้ดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งนอกจากจะช่วยลดปัญหามลพิษที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพแล้ว ยังเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสุขภาวะที่ดีของประชาชนในระยะยาวอีกด้วย

                  เสียงจากผู้พิทักษ์ “คนชายขอบ”

                  แม้ภาพจำของผู้พิทักษ์ป่ามักถูกเชื่อมโยงกับการบุกรุกทำลาย ทว่าในความเป็นจริง ชุมชนชาติพันธุ์จำนวนมากคือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดและผูกพันกับป่ามากที่สุด พวกเขามี “ภูมิปัญญา” ในการจัดการป่าที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ ไม่ว่าจะเป็นการใช้พืชสมุนไพร หรือการจัดการทรัพยากรให้เกิดความสมดุล หลายชุมชนได้ลุกขึ้นมาบริหารจัดการ “ป่าชุมชน” ด้วยตนเองมาอย่างยาวนาน ด้วยเล็งเห็นว่าไม่สามารถรอคอยการสนับสนุนจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว

                  ตัวอย่างเช่น กลุ่มสตรีในชุมชนปกาเกอญอ “บ้านห้วยอีค่าง” ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งดำรงวิถีชีวิตคู่กับผืนป่ากว่า 10,000 ไร่ พวกเธอตระหนักดีว่า “ผืนป่าคือบ้าน คือชีวิต คือแหล่งรวมองค์ความรู้ที่สืบทอดมาจากบรรพชน” จึงได้นำร่องจัดสรรพื้นที่ “ป่าเพื่อผู้หญิง” เพื่อร่วมกันฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพฃ

หน่อแอริ ทุ่งเมืองทอง แม่หลวงและแกนนำสตรี

                  หน่อแอริ ทุ่งเมืองทอง แม่หลวงและแกนนำสตรี เล่าว่า ชุมชนปฏิเสธการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาหมอกควันและ Hotspot และกลับมาส่งเสริมองค์ความรู้บรรพชนในการจัดการป่า ที่น่าสนใจคือ ชุมชนมีการเก็บ “ภาษีป่า” เพียงคนละ 38 บาทต่อปี เพื่อนำมาใช้ในการลาดตระเวนดูแลผืนป่า สะท้อนถึงความรับผิดชอบร่วมกัน นอกจากนี้ยังมีการเปิดห้องเรียนธรรมชาติเพื่อสืบทอดองค์ความรู้พื้นถิ่น และสร้างเศรษฐกิจชุมชนที่ส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่อยู่กับป่าตามวิถี

                  นอกเหนือจากประโยชน์ด้านการดูแลป่าและส่งเสริมรายได้ การอนุรักษ์ยังช่วยลดภาวะซึมเศร้า โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงและคนรุ่นใหม่ การที่ผู้หญิงและเยาวชนได้กลับมาอยู่กับป่า ได้เดินป่า ช่วยให้สภาวะซึมเศร้าลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าป่าเป็นพื้นที่แห่ง “สุขภาวะ” อย่างแท้จริง

                  รู้จัก PES: เครื่องมือใหม่เพื่อการอนุรักษ์ที่ยั่งยืน

                  “Payment for Ecosystem Services (PES)” ถูกนำเสนอขึ้นมาเพื่อเป็น “เครื่องมือสำคัญ” ในการสร้างความยั่งยืนให้กับฐานทรัพยากร โดยกำลังได้รับการผลักดันให้เป็นกลไกสำคัญผ่านการผสานบทบาทของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน เพื่อให้เกิดการดูแล รักษา และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นรูปธรรม และถูกมองว่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือใหม่ที่ทรงพลังในการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

                  PES ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ดูแลทรัพยากรธรรมชาติได้รับค่าตอบแทนอย่างเป็นธรรม และเปลี่ยนมุมมองของการอนุรักษ์จาก “ภาระ” เป็น “โอกาส” แนวคิดพื้นฐานของ PES คือ “ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากระบบนิเวศ ควรจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้ที่ดูแลรักษา” ซึ่งหมายถึง การที่ผู้ใช้ประโยชน์ เช่น คนเมืองที่ใช้น้ำสะอาดจากต้นน้ำ ควรจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ชาวบ้านที่ดูแลต้นน้ำ การจ่ายค่าตอบแทนนี้จะสร้างความรับผิดชอบร่วมกันในสังคม ลดภาระของรัฐ และสร้างการพึ่งพาตนเองในชุมชน

                  PES ยังเป็นกลไกที่ส่งเสริมให้เกิดการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับป่าภายใต้กรอบกฎหมาย เช่น มาตรา 64 ด้วยการกำหนดกติกาการใช้ประโยชน์อย่างสมดุลและยั่งยืน และเป็นแนวทางให้ชุมชนสามารถอยู่ร่วมและได้รับประโยชน์จากป่าได้

                  ปลดล็อกข้อจำกัด: เดินหน้าอนุรักษ์อย่างยั่งยืน

                  การขับเคลื่อน PES ยังคงมีโจทย์ที่ต้องร่วมกันแก้ไข เช่น การพัฒนาแพลตฟอร์มกลางเพื่อรวบรวมข้อมูลชุมชนที่มีศักยภาพ การเชื่อมโยงผู้สนับสนุนกับโครงการที่ตรงกับความสนใจ การทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และการปรับปรุงกฎหมายหรือระเบียบที่เป็นอุปสรรค

                  ที่ผ่านมา หน่วยงานภาครัฐที่ดูแลป่า เช่น กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มักประสบข้อจำกัดด้านกำลังเจ้าหน้าที่อย่างมาก ยกตัวอย่างอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ที่มีข้าราชการปกป้องป่าเพียง 2 คน นอกนั้นเป็นลูกจ้างชั่วคราว ซึ่งไม่สมดุลกับขนาดพื้นที่ป่าอันกว้างใหญ่ แม้ปัจจุบันจะยอมรับว่าคนสามารถอยู่คู่กับป่าได้ แต่การอยู่ร่วมกันยังคงมีข้อจำกัด และแม้มีกฎหมายรองรับให้ชุมชนอยู่ร่วมกับป่าได้ เช่น มาตรา 64 และ 121

                  แต่บางฝ่ายมองว่ากฎหมายเหล่านี้มีข้อจำกัดและทำให้การพัฒนาในพื้นที่ทำได้ยาก อีกทั้งหน่วยงานรัฐมักวางบทบาทเป็น “ผู้ห้ามปราม” มากกว่า ซึ่งอาจไม่สามารถหยุดยั้งปัญหาการบุกรุกหรือการใช้ประโยชน์ป่าได้อย่างแท้จริง

วีระ ขุนไชยรักษ์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

                  วีระ ขุนไชยรักษ์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า การมีเอกชนเข้ามาสนับสนุนจะช่วยให้การทำงานสามารถขยายสเกลได้ใหญ่ขึ้นมาก ภาครัฐเอง อย่างกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ก็เปิดรับความร่วมมือนี้ โดยมองว่า PES เป็นกลไกที่ช่วยเสริมการจัดการป่าได้ กลไก PES จะเข้ามาเป็นทางออกด้านข้อจำกัดการเข้าถึงแหล่งทุนที่ชุมชนประสบปัญหาอยู่ จากเดิมที่การสนับสนุนจากภาคเอกชนมักอยู่ในรูปแบบ CSR ซึ่งอาจมีกรอบงบประมาณหรือการวัดผลที่ไม่สอดคล้องกับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

                  เอกชนเล็งเห็น PES: กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว

                  การที่ PES เปิดทางให้นักลงทุนและภาคธุรกิจเข้ามามีบทบาทได้อย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะผ่านการลงทุนโดยตรงในกิจกรรมอนุรักษ์ สนับสนุนชุมชนในรูปแบบ CSR รูปแบบใหม่ หรือใช้พื้นที่อนุรักษ์เป็นแหล่งคาร์บอนเครดิตเพื่อลดภาษี

                  ชลลดา จันทร์พุ่ม ผู้แทน ECCA Family Foundation ซึ่งมีรากฐานจากธุรกิจจิวเวลรี่ Pandora ในประเทศไทย เล่าว่า มูลนิธิฯ ต้องการตอบแทนสิ่งดี ๆ ให้กับประเทศไทย โดยไม่คาดหวังผลตอบแทนเป็นตัวเงิน แต่ต้องการเห็นการพัฒนาและการเรียนรู้ใหม่ ๆ ในชุมชน ตลอดจนผลกระทบเชิงบวกต่อทรัพยากรธรรมชาติ และเห็นชุมชนรวมถึงประเทศได้รับประโยชน์ในระยะยาว ที่ผ่านมา ECCA เคยทำงานร่วมกับชุมชนริมชายฝั่งสนับสนุนให้ชุมชนมีเครื่องมือในการดูแลทรัพยากรหน้าบ้านตนเอง

                  “สิ่งที่อยากได้กลับไม่ใช่ตัวเงิน แต่เป็นการผู้ที่รับทุน ชุมชน หรือพื้นที่ได้รับอะไรใหม่ ๆ หรือมีผลกระทบเชิงบวกที่ได้รับอย่างไรบ้าง และในระยะยาวชุมชนได้อะไร รวมถึงประเทศชาติได้อะไร”

                  รุจิรา พงษ์กุลทอง เจ้าหน้าที่พัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ องค์การมหาชน อธิบายว่า จุดเด่นของ PES คือการแปลงคุณค่าเชิงนามธรรมของระบบนิเวศให้เป็นมูลค่าที่สามารถคำนวณและนำไปสู่การสนับสนุนได้อย่างชัดเจน ทำให้แตกต่างจากการสนับสนุนในรูปแบบ CSR ทั่วไป

                  “PES ไม่ใช่เพียงแค่การบริจาคหรือกิจกรรม CSR ทั่วไป เพราะหัวใจสำคัญอยู่ที่การ ประเมินและคำนวณมูลค่า ของบริการระบบนิเวศเป็นรูปธรรมและสมเหตุสมผล ซึ่งการจะขับเคลื่อนให้ PES ยังคงต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจจากหลายภาคส่วนที่จะมาร่วมสานพลัง ไม่ว่าจะเป็น ภาคธุรกิจ ภาครัฐ ภาคประชาสังคม หรือแม้แต่หน่วยเล็กที่สุดของสังคม อย่างเช่นชุมชน”

                  “การมีตัวเลขหรือการคำนวณบางส่วนเข้ามา จะช่วยให้ PES แตกต่างจาก CSR และเป็นจุดขายในการรับการระดมทุนจากหน่วยงานต่างๆ รวมถึงภาคเอกชนที่แท้จริงมีความพร้อมในการสนับสนุน หากแต่ยังขาดกลไกที่มีกฎเกณฑ์และมาตรการวัดประเมินผลได้อย่างเป็นระบบ”

                  ท้ายที่สุด หัวใจสำคัญของ PES คือการมองเห็นชุมชนในฐานะ “ผู้พิทักษ์” ผืนป่า มิใช่แค่ผู้ทำงานรับจ้าง หากแต่เป็นการสร้างความเข้าใจ การให้ความอบอุ่น ไม่ใช่การกดขี่ ซึ่งจะทำให้ชุมชนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างมีความสุขและยั่งยืน

Shares:
QR Code :
QR Code