New Year Resolution ปีนี้ ขอท้าคนไทยประเดิมต้นปี ด้วยความสุขง่าย ๆ เพียง “ดื่มไม่ขับ

ข้อมูลจาก งานรณรงค์ปีใหม่ ดื่มไม่ขับ กลับบ้านปลอดภัย ที่ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร 

ภาพโดย ฐิติชญา สัมปุรณะพันธุ์ Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ

                  เทศกาลปีใหม่ เป็นช่วงเวลาของการฉลองปีใหม่เริ่มต้นสิ่งดีๆ ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความหวังที่จะได้มีความสุขกับครอบครัวที่เรารัก

                  แต่หลายครอบครัวอาจไม่มีโอกาสเช่นนั้น กลับพลิกผันเพียงชั่ววินาที เพียงเพราะ “ความประมาท”

                  เป็นธรรมเนียมไปแล้ว ที่ในช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นห้วงเวลาของการเดินทางสัญจรอย่างหนาแน่นในแต่ละปี การใช้ชีวิตบนท้องถนนเพื่อการเดินทางยังเป็นต้นเหตุของความสูญเสียตามมา เพราะความประมาท โดยเฉพาะความประมาทนั้นมีสาเหตุเนื่องมาจากการดื่ม “แอลกอฮอล์” เป็นสาเหตุหลัก

                  แต่เราทุกคนไม่ควรมีใครต้องเป็นเหยื่อ เป็นผู้พิการ หรือผู้ประสบอุบัติเหตุ ในช่วงเวลาวันมงคลของการเริ่มต้นปีอีกต่อไป ทุกคนสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุ เดินทางกลับบ้านหรือไปฉลองปีใหม่อย่างปลอดภัยได้ ถ้าเพียงงดการดื่มแอลกอฮอล์ และขับรถโดยไม่ประมาท

                  ด้วยความห่วงใยถึงความปลอดภัยในการเดินทางของพี่น้องประชาชนคนไทยในช่วงเทศกาลปีใหม่ คณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน วุฒิสภา ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)กรุงเทพมหานคร และภาคีเครือข่ายความปลอดภัยทางถนน จัดกิจกรรมเพื่อเชิญชวนปีใหม่นี้ “ดื่มไม่ขับ กลับบ้านปลอดภัย” ช่วยกระตุ้นเตือนใจสร้างความปลอดภัยในการขับขี่

                  สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย สมาชิกวุฒิสภา และประธานคณะกรรมการบูรณาการกู้ชีพฉุกเฉินและความปลอดภัยทางถนน วุฒิสภา กล่าวว่า การดื่มแล้วขับ เป็นสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุทางถนนถึง 28% รวมถึงการใช้ความเร็ว เป็นสาเหตุสูงถึง 38% จึงขอเชิญชวนช่วงเทศกาลการเดินทาง ดื่มไม่ขับ ร่วมกับลดใช้ความเร็ว ลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุ ฉลองปีใหม่นี้ปลอดภัย

                  “ทุก ๆ ปีมีผู้เสียชีวิตจากการเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ เฉลี่ยแล้วในแต่ละปีถึงประมาณ 300 คน ปีนี้เราไม่อยากเห็นตัวเลขเช่นนั้นเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนอีก ซึ่งปัจจุบันสถิติดังกล่าวของไทยยังสูงเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียนอีกด้วย จึงหวังว่าเราจะช่วยกันต่อเนื่องเพื่อทำให้อัตราการตายของคนไทยลดเหลือเป็นศูนย์”

                  ด้าน ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า จากผลการตรวจแอลกอฮอล์ในเลือดของกลุ่มผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนน พบว่ากว่า 50% พบแอลกอฮอล์ในเลือด

                  การรณรงค์มีหลายกิจกรรม แต่ต้นทางกว่านั้นคือพฤติกรรมการขับขี่ของเราที่เราจะต้องมามุ่งเน้นความสำคัญเรื่องการดื่มไม่ขับ นอกจากการเกิดอุบัติเหตุแล้ว ในทุกการดื่มแอลกอฮอล์ยังมีผลต่อสุขภาพและสมองจึงเป็นที่มาของการรณรงค์แคมเปญ “ดื่มไม่ขับ: ดื่มเหล้า เมาถึงสมอง”

                  ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าวต่อว่า สสส. ได้ผลิตสื่อสปอตรณรงค์ภายใต้แคมเปญ “ดื่มไม่ขับ: ดื่มเหล้า เมาถึงสมอง” เพื่อการรณรงค์ในช่วงนี้ถึง 2 เรื่อง เพื่อรณรงค์ให้ผู้ขับขี่ตระหนักถึงอันตรายจากการดื่มแล้วขับ

                  สำหรับสปอตรณรงค์ดังกล่าวจะ ชี้ให้เห็นผลของแอลกอฮอล์ ที่ลงลึกกระทบต่อสมองและการขับขี่ นั่นคือทำให้ตอบสนองช้าลง การตัดสินใจเบรกรถไม่ทัน หรือแม้แต่อาจกะระยะการขับขี่ผิดพลาด

                  นอกจากนี้ สสส. ยังมีสื่อภาพรณรงค์ที่ใช้ส่งต่อครอบครัว เพื่อน ร่วมรณรงค์ดื่มไม่ขับ และยังคงสื่อสารรณรงค์อย่างต่อเนื่องกับ “ให้เหล้า = แช่ง” ที่เน้นย้ำ การให้ของขวัญปีใหม่ที่มีคุณค่า ให้สิ่งดี ๆ ต่อกัน ปีใหม่นี้มอบสิ่งดีๆแทนการให้เหล้า

                  “สสส.ร่วมกับภาคีเครือข่ายลดอุบัติเหตุ สร้างความปลอดภัยทางถนน ร่วมประสานความร่วมมือหนุนเสริม มาตรการรัฐ ร่วมกับเครือข่ายตำบลสุขภาวะ กว่า 3,000 แห่ง และ 189 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน 35 อำเภอ 20 จังหวัด สร้าง “ตำบลขับขี่ปลอดภัย” เพราะข้อมูลชี้ชัดว่า ผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน เกิดเหตุไม่ไกลจากบ้าน ในระยะ 5-10 กิโลเมตร ท้องถิ่นจึงควรมีมาตรการดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ และเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับกว่า 100 เครือข่ายทั่วประเทศ รณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนน ลดพฤติกรรมเสี่ยง ให้จังหวัดและหน่วยงานเน้นย้ำ และมีมาตรการดูแลความปลอดภัยทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 เครือข่ายองค์กรงดเหล้า และเครือข่ายพระสงฆ์นักพัฒนา 4 ภาค ร่วมกับสำนักพระพุทธศาสนาจังหวัด สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด จัดสวดมนต์ข้ามปี “เริ่มต้นดี ชีวิตดี รับปีใหม่” กว่า 140 วัด”  ดร.นพ.ไพโรจน์ กล่าว

                  ชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เน้นย้ำว่า กทม.ให้ความสำคัญและมีแผนการทำงานชัดเจนในเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน ตลอดปี 2566 กรุงเทพมหานคร ได้จัดกิจกรรมรณรงค์ความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่อง อาทิ รณรงค์การสวมหมวกนิรภัยและการข้ามทางม้าลายให้กับโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร การปรับสภาพกายภาพของถนนที่ชำรุดให้มีสภาพใช้งานได้โดยปลอดภัย การปรับปรุงแก้ไขสัญญาณไฟจราจรทางแยกและทางข้าม เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ทาง ซึ่งประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามเทศกาลปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ กทม. เองก็จะเฝ้าระวังดูแลความปลอดภัยการใช้รถใช้ถนนอย่างเต็มที่ รวมไปถึงความปลอดภัยในด้านอื่นๆด้วย และขอให้ประชาชนได้ฉลองปีใหม่อย่างมีความสุขและปลอดภัย

                  นอกจากนี้ จากการที่ปัจจุบันการเจ็บป่วยฉุกเฉินมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ทั้งสาเหตุจากอุบัติเหตุ การเจ็บป่วยด้วยโรคประจำตัว ภาวะการหยุดหายใจกะทันหัน หัวใจล้มเหลว

                  ซึ่งการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน CPR และการใช้เครื่อง AED Choking ขั้นพื้นฐานอย่างมีทักษะที่ถูกต้องตามมาตรฐานจะเป็นประโยชน์ เพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติดูแลชีวิตคนในครอบครัว และสังคมได้ โดยการได้รับความช่วยชีวิตเบื้องต้นอย่างทันท่วงที และถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ

                  ดังนั้น การจัดกิจกรรมรณรงค์ปีใหม่ 2567  “ดื่มไม่ขับ…กลับบ้านปลอดภัย” ครั้งนี้ยังนำเสนอการ CPR กับนาทีต่อชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉิน รวมถึงการส่งต่อผู้ป่วยไปยังแพทย์ สถานพยาบาล จะทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตและกลับคืนมาใช้ชีวิตตามปกติ โดยการสาธิตช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน Basic Life Support (CPR AED Choking)  จาก แพทย์หญิงลลนา ก้องธรนินทร์ หรือหมอเจี๊ยบ และทีมกู้ชีพฉุกเฉินที่มาถ่ายทอดการสาธิตช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน Basic Life Support ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญกับสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างถูกวิธี

                  “สิ่งแรกที่คนมักเข้าใจผิดคือ การทำซีพีอาร์ (CPR) จะไม่ทำในผู้ป่วยหมดสติ แต่เราทำเมื่อกรณีที่ผู้ป่วยคน ๆ นั้นมีภาวะหัวใจหยุดเต้น” หมอเจี๊ยบอธิบายต่อว่า เพราะการ CPRในคนมีชีวิตยู่หรือหัวใจเต้นอยู่อันตรายและเสี่ยงซี่โครงหักได้ ดังนั้น จึงแนะนำขั้นตอนก่อนจะเริ่ม CPR อย่างถูกวิธี ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่

                  Scene safety อันดับแรกคือในทุกเหตุการณ์ทุกสถานการณ์ก่อนที่เราจะเข้าไปช่วยใครให้ประเมินสถานการณ์ก่อนว่าปลอดภัยไหม เพราะมีบ่อยมากที่พลเมืองใจดีไปช่วยแล้วประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต

                  Check response ก่อนจะช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย สิ่งแรกต้องสังเกตดู คือเขามีสติหรือไม่ โดยให้ตบบ่าสองข้างแล้วเรียกดัง ๆ ว่ามีการตอบสนองหรือไม่

                  Call for health ระหว่างนั้นให้ติดต่อสายด่วน 1669 ทันที แจ้งรายละเอียดผู้ป่วย อาการ เกิดเหตุอะไร โดยไม่ลืมให้เบอร์ติดต่อกลับ และขอเครื่อง AED มาด้วย

                  Check breathing ในระหว่างโทรขอความช่วยเหลือ เราสามารถเช็คการหายใจผู้ป่วยไปพร้อมกันได้ ถ้าหากไม่หายใจจึงทำการ Early CPR

“การทำซีพีอาร์ สองฝ่ามือวางกดปั๊มที่ตำแหน่งที่จุดตัดเส้นหัวนม กึ่งกลางส่วนล่างกระดูกหน้าอก เวลาทำให้ใช้ส้นมือไม่ใช่ฝ่ามือ กดด้วยความเร็ว 100-120 ครั้งต่อนาที แรงกดลึก 5-6 เซนติเมตร แล้วคืนตัวให้สุด แต่อย่างไรก็ดี ควรรบกวนการกดให้น้อยที่สุด นี่คือ High quality CPR หรือการซีพีอาร์แบบมีคุณภาพ และไม่ควรหยุดเกินสิบวินาทีในการปั๊มหัวใจ”

                  “ท้ายสุดสิ่งสำคัญที่สุดที่อยากฝากทุกคนคือ ความเจ็บป่วยหรือเหตุที่เราต้องเสียชีวิตโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้คือการมีโรคประจำตัว หรือการเกิดขึ้นกระทันหัน แต่ความประมาทเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงได้ เช่นดื่มเหล้าไปขับรถ หรือลืมสวมหมวกกันน็อค เป็นการทำตัวเองให้อยู่ในความเสี่ยงชีวิตสูงมาก เมาแล้วขับเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเกิดอุบัติเหตุเยอะมาก สิ่งเหล่านี้สามารถป้องกันได้จากตัวเราเอง เพราะถ้าเกิดขึ้นมาแล้วคุณเรียกอะไรกลับมาไม่ได้ ดังนั้นก่อนที่จะมาถึงขั้นต้องซีพีอาร์ ถ้าเราไม่ประมาทและลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะทำให้ต้องเผชิญกับอุบัติเหตุ และสูญเสียคนที่เรารัก

                  “ขอให้ทุกคนมีสติในการเริ่มต้นปีใหม่เพื่อคุณจะได้กลับบ้านไปเจอคนที่คุณรัก และกลับมาเริ่มต้นปีใหม่ มีความสุขให้ชีวิตดียิ่งขึ้นค่ะ” หมอเจี๊ยบร่วมอวยพรทิ้งท้าย

Shares:
QR Code :
QR Code