Music sharing ดนตรี..เปลี่ยนชีวิต
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจากแฟนเพจ MusicSharingTH
Music sharing ดนตรี..เปลี่ยนชีวิต
จำได้ไหม วัยเด็กของคุณโตมากับอะไร? ถ้าเป็นเมื่อสัก 4-5 ปีก่อน คำตอบของ "นัท" เด็กชายวัย 14 บ้านอยู่ชุมชนโรงหมู คลองเตย คงจะบอกว่า "ติดเกม" เพราะไม่มีอะไร น่าทำไปกว่าการได้สิงสถิตย์อยู่ร้านเกม แถวบ้านวันละ 8-9 ชั่วโมง
นัทบอกว่า วันนี้ เขาอาจจะยังคงใช้ชีวิตต่อไปแบบนั้น ถ้าไม่ได้ก้าวสู่โลกของ "ดนตรี" ที่กลายมาเป็นจุดเปลี่ยน และค้นพบเป้าหมายในชีวิต
"ตอนเด็กๆ ผมเคยได้ยินเสียงกีตาร์ ในคอนเสิร์ตงานวัด เสียงมันโดนใจ เร้าใจผมมาก ยิ่งตอนโซโล่นี่เท่มาก แต่ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสได้เล่นกีตาร์จริงๆ"
นัทมีโอกาสจับกีตาร์ครั้งแรกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ตอนที่ "ครูแอ๋ม" ศิริพร พรมวงศ์ จาก Music Sharing กลุ่มดนตรีเล็กๆ ที่อยากแบ่งปันให้กับเด็กที่ไม่มีโอกาสได้เรียนดนตรี ยกทีมครูอาสาไปสอนเด็กๆ ที่คลองเตยเป็นประจำสัปดาห์ละครั้ง
เด็กๆ ที่มาเรียน ก็มีตั้งแต่ตัวเล็กๆ 6-7 ขวบ ไปจนถึงวัยรุ่นอายุ 13-14 ด้วยจำนวนเด็กที่มากถึง 30-40 คน ทำให้กีตาร์ตัวหนึ่งต้องผลัดกันเล่น 5 คน แต่อย่างน้อยก็เป็นก้าวแรกที่ทำให้เกิดการฝึกฝนต่อ จนกระทั่งนัทได้กลายเป็นนักดนตรีของโรงเรียน เติบโตมาเป็นรุ่นพี่ช่วยงานอาสาของ Music Sharing
"ดนตรีให้อะไรกับผมมากกว่าคำว่า 'การเล่น' ให้ทั้งการแบ่งปัน การเสียสละ มีหน้าที่ความรับผิดชอบ รู้จักคิดมากขึ้น แม้แต่คนแถวบ้านกับพ่อแม่ยังบอกว่า ผมเปลี่ยนไปนะ จากเคยเป็นเด็กติดเกม เข้าร้านเกมวันละ 9 ชั่วโมง เดี๋ยวนี้วันๆ ผมอยู่กับกีตาร์ ผมว่ามันได้สาระกว่า รู้สึกมีความสุขที่ได้จับ ได้เล่น ชอบเวลาที่ได้ไปเล่นเปิดหมวก มันทำให้มีโอกาสแสดงออกให้คนเห็นว่า เรามีความสามารถ" นัท เล่าถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้เลิกติดเกม และมุ่งมั่นอยากพัฒนาตัวเองให้ไปไกลในระดับนักดนตรีอาชีพ
เช่นเดียวกับ "ซี" เด็กมอญไร้สัญชาติวัย 15 จากพม่าที่เข้ามาเป็นเด็กวัดเรียนหนังสืออยู่ที่วัดปรก ซีฝันอยากเป็นนักดนตรีมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งมีโอกาสได้เรียนกีตาร์กับกลุ่มครูอาสาของ Music Sharing เมื่อ 2 ปีก่อน จนเดี๋ยวนี้ สามารถต่อยอดจากระดับเบสิคมาฝึกฝนทักษะดนตรีในเชิงลึก และเป็นอาสานักดนตรีเปิดหมวกตามที่ต่างๆ เพื่อช่วยหาทุนซื้อเครื่องดนตรีมาสอนเด็กๆ อีกด้วย
"เวลาเด็กๆ ได้มาเล่นดนตรีด้วยกัน ทุกคนมีความสุข บางคนไม่มีพ่อแม่ แต่พอได้มาทำกิจกรรมด้วยกัน มันทำให้รู้สึกเหมือนเรามีครอบครัว มีคนที่ใส่ใจดูแลกัน"
ดนตรียังทำให้ซีมีแรงบันดาลใจที่จะขวนขวายหาลู่ทางเรียนต่อกศน. เพื่อเป็นบันไดก้าวไปสู่การเรียนต่อด้านดนตรีในระดับมหาวิทยาลัย สู่เป้าหมายของการ เป็นนักดนตรีอาชีพ อีกหนึ่งความมุ่งมั่นของซี คือ อยากเป็นครูไปสอนเด็กๆ ที่ขาดโอกาสให้มีโอกาสเข้าถึงดนตรีเหมือนกับเขา และถ้าเป็นไปได้ก็อยากกลับไปขยายโครงการ Music Sharing แบบนี้ให้กับเด็กๆ ในพม่าด้วย
เรื่องราวของนัทกับซี เป็นตัวอย่างเล็กๆ ที่ทำให้เห็นว่า ดนตรีมีพลังแค่ไหน ในการนำพาเด็กๆ ไปสู่เส้นทางที่สร้างสรรค์ หากมีพื้นที่ที่ทำให้พวกเขาได้มีโอกาสทำกิจกรรมที่รู้สึกแฮปปี้มีความสุข มีพื้นที่สำหรับรวมกลุ่มกับเพื่นอ ได้แสดงออก ค้นพบศักยภาพที่อยู่ในตัวเอง
"สิ่งที่เราพบ คือ ทำไมพื้นที่เชิงบวกแบบนี้ในสังคมมันมีน้อยมาก ในขณะที่พื้นที่สุ่มเสี่ยงทางลบผุดขึ้นมากมาย ร้านเกม หรือ แหล่งมั่วสุมอาจจะมี 20 แห่ง แต่พื้นที่เล่นดนตรีอาจจะมีไม่ถึง 2 ที่ ถ้าเราไม่มีพื้นที่สร้างสรรค์ เด็กๆ จะไปที่ไหนเมื่อไม่มีที่ให้เขาไป" เสียงสะท้อนจาก ศิริพร พรมวงศ์หรือ "ครูแอ๋ม" แกนนำ Music Sharing กลุ่มคนเล็กๆ ที่ขอร่วมเป็นอีกหนึ่งแรงสำคัญในการขยายพื้นที่เชิงสร้างสรรค์สำหรับเด็กๆ ผ่านกระบวนการดนตรีให้เกิดขึ้นในเมืองไทย ภายใต้ "โครงการดนตรีเพื่อการแบ่งปัน" โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ครูแอ๋ม เป็นคนหนึ่งที่อยู่บนเส้นทางเพื่อสังคมมาตั้งแต่เรียนพยาบาลอยู่ในรั้วมหิดล เป็นนักกิจกรรมตัวยงใน "กลุ่มสลึง" ที่ถ่ายทอดเรื่องราวสังคมผ่านบทเพลง เคยทำกิจกรรมค่ายอาสา และเริ่มนำพาเสียงดนตรีมาสู่เด็กๆ ชาวม้ง จ.น่าน ด้วยการประกาศรับบริจาคเครื่องดนตรีให้กับคุณครูบนดอย จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ Music Sharing ซึ่งขยายไปสู่การนำครูอาสาไปสอนดนตรีให้กับเด็กๆ ในชุมชนคลองเตยเป็นประจำทุกสัปดาห์
"เราเริ่มทำจากคลองเตย ตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อน ครั้งแรกที่เรารวมตัวกัน เครื่องดนตรีทั้งหมดได้มาจากการบริจาค และระดมทุนจากการเล่นดนตรีเปิดหมวก และครูอาสามาช่วยกันสอน จนกระทั่งต่อมาเริ่มขยายสู่พื้นที่อื่นๆ ที่ชุมชนอยากได้เครื่องดนตรี และครูอาสาเข้าไปช่วยสอนให้กับเด็กๆ เช่น ดินแดง มหาชัย จึงเขียนโครงการขอทุนจากสสส.ในปี 2557 ใช้ชื่อโครงการดนตรีเพื่อการแบ่งปัน ความตั้งใจของเราคืออยากทำเรื่องกระบวนการพัฒนาเด็กผ่านดนตรี ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เราถนัด โดยที่ผ่านมา มีเครือข่ายอาสามัครทั้งนักดนตรี และครูอาสาหมุนเวียนมาร่วมกิจกรรมกับเรานับร้อยคน"
ปัจจุบัน โครงการดนตรีเพื่อการแบ่งปัน เริ่มขยายเครือข่ายไปทั่วประเทศแล้วประมาณ 20 ชุมชน นำพาเสียงดนตรีไปสู่เด็กๆ ทั่วประเทศ ทั้งบนดอยในภาคเหนือ ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ภาคอีสาน พื้นที่ห่างไกลในชนบท รวมถึงแฟลต และสลัมในเมือง
ครูแอ๋ม บอกว่า ทุกพื้นที่ไม่ได้ต้องการทุนสนับสนุนมากมาย เขามีศักยภาพมีครูที่สอนได้ แต่สิ่งที่ขาดและต้องการมากที่สุด คือ เครื่องดนตรี ล่าสุด จึงเปิดรับสมัครทั้งวงดนตรีอาสา เพื่อช่วยเล่นดนตรีเปิดหมวกระดมทุนจัดซื้อเครื่องดนตรี รับสมัครครูอาสาสอนตรี รวมถึงการรับบริจาคเครื่องดนตรี โดยมีเฟซบุ๊ค Music Sharing (facebook.com/MusicSharingTH) เป็นช่องทางหลักในการสร้างเครือข่าย
ความยากของโครงการดนตรีสำหรับเด็ก คือ เป็นโครงการที่ต้องทำต่อเนื่อง ต้องทุ่มเททั้งพลัง และใช้เวลา อดทน รอคอย กว่าจะเห็นพัฒนาการหรือการเปลี่ยนแปลงของเด็กๆ เพราะการเรียนดนตรี ต้องใช้เวลาในการฝึกฝน เรียนรู้ ไม่เหมือนกับการทำค่าย หรือกิจกรรมศิลปะที่ทำจบแล้วแยกย้ายได้ภายในหนึ่งวัน
"ที่ผ่านมา เราจึงเน้นการทำงานร่วมกับคนชุมชนเป็นหลัก เพราะถ้าไม่ใช่คน ในชุมชนทำโครงการเองแล้ว โอกาสที่โครงการจะดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง เป็นไปได้ยากมาก เพราะคนนอก หรืออาสาเข้าไปก็คงอยู่ได้ไม่ยาว และเราเองก็คงไม่มีแรง ที่จะทำได้หมดทุกชุมชน แนวทางของเราจึงพยายามสร้างให้เด็กๆ ในชุมชนได้เติบโตเป็นมาเป็นรุ่นพี่ เพื่อสานต่อโครงการในชุมชนด้วยตัวเองในวันที่ไม่มีเราอยู่ในพื้นที่"
สำหรับตัวอย่างชุมชนที่เข้มแข็งและเดินไปได้ตัวเองแล้ว ครูแอ๋มยกตัวอย่าง ชุมชนคลองเตย ซึ่งผ่านกระบวนการที่ไม่ได้ใช้แค่ดนตรีอย่างเดียว แต่ใช้การแบ่งหน้าที่ การมีความรับผิดชอบ การทำงานร่วมกัน ปลูกฝังให้เด็กๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วมอยากพัฒนาชุมชน
"หลังจากทำโครงการมา 5 ปี เราเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง เด็กๆ หลายคนเติบโตขึ้นมาเป็นแกนนำ จากที่เขาไม่เคยมีความคิดความฝันถึงชีวิตในอนาคต ตอนนี้ หลายคนค้นพบเป้าหมาย และแรงบันดาลใจ อยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้น บางคนอยากทำงานเหมือนเรา อยากเล่นดนตรีให้เก่งๆ"
ครูแอ๋ม บอกว่า เป้าหมายต่อไปของ Music Sharing มองไปถึงการวางแผน ทำเรื่องกองทุนการศึกษาสำหรับเด็กๆ ที่ตั้งใจอยากเรียนต่อด้านดนตรีอย่างจริงจังเพื่อไปให้ถึงฝั่งฝันในระดับมหาวิทยาลัย เพราะสำหรับเด็กๆ เหล่านี้แล้ว โอกาส ที่จะเรียนต่อด้านดนตรี เป็นไปได้ยากมาก เพราะต้องใช้ทุนสูง หลายคนเรียนจบแค่ ม.3 ก็แยกย้ายกันไป ไม่ได้มองไปถึง เป้าหมายเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย
จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของการสร้างพื้นที่เชิงสร้างสรรค์ เพื่อเปิดพื้นที่ทางเลือกดีๆ ให้กับเด็กๆ จึงไม่เพียงแต่ช่วยดึงพวกเขาออกมาจากการตกไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยง และอบายมุขรอบตัว แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของก้าวต่อๆ ไปอีกมากมายที่จะช่วยให้เด็กหลายคนพลิกชีวิตมาไกลเกินฝันด้วยพลังของดนตรี