Mindful Markets อาหารดี สำนึกดี สังคมดี

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ โดย ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


Mindful Markets อาหารดี สำนึกดี สังคมดี thaihealth


ในยุคที่ข้าวปลาอาหารถูกทำให้เป็นเพียงแค่สินค้าที่สร้างรายได้  เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ผัก ปลา ไก่ ไข่ นม เนื้อ ที่มาจากการผลิต แบบอุตสาหกรรมเน้นปริมาณ จะมีความปลอดภัยต่อตัวเรา และเป็นระบบการผลิตที่ยั่งยืน


…นี่เป็นคำถามชวนคิดในเวทีประชุมแลกเปลี่ยนในภูมิภาคเอเชีย โครงการ "ตลาดที่มีจิตสำนึกแห่งเอเชีย ครั้งที่ 3" (The 3 rd Mindful Markets Asia Forum) โดย สวนเงินมีมา ร่วมกับภาคีเครือข่าย อาทิ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)


Mindful Markets หรือ ตลาดที่มีจิตสำนึก เป็นจุดเริ่มต้นของการรวมพลังระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคเพื่อสร้างตลาดทางเลือกในการเข้าถึงอาหารอินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพ และดีต่อระบบนิเวศน์ทั้งระบบ โดยการสร้างจิตสำนึกใหม่ร่วมกันระหว่าง ผู้ผลิต ผู้ปลูกที่ทุ่มเทในการผลิตอาหารปลอดภัย ขณะที่คนกินก็มีสำนึกรู้ในคุณค่าของอาหารที่มาจากความใส่ใจของผู้ผลิต ช่วยเหลือเกื้อกูล บนวิถีแห่งการบริโภคที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย


หนึ่งในรูปแบบของตลาดที่มีจิตสำนึก คือ ระบบ CSA (Community Supported Agriculture) ที่มาของแนวคิดนี้เริ่มมาจากกลุ่มแม่บ้านในประเทศญี่ปุ่น ที่ไม่ต้องการบริโภคผักที่ปนเปื้อนสารเคมี จึงเกิดรูปแบบตลาดที่เรียกว่า "เตเก"Mindful Markets อาหารดี สำนึกดี สังคมดี thaihealth(TEIKEI) คือ การติดต่อว่าจ้างเกษตรกรให้ปลูกพืชผักที่ไม่ใช้สารเคมีใดๆ โดยแม่บ้านเป็นผู้ลงเงินทุนให้กับเกษตรกร ต่อมาแนวคิดนี้จึงแพร่หลายไปทั้งในยุโรป อเมริกา และแคนาดา รวมถึงประเทศไทย โดยมี ระวีวรรณ ศรีทอง ผู้ประกอบการสังคมสีเขียว เป็นผู้บุกเบิกก่อตั้งกลุ่มซีเอสเอ ขึ้นในชื่อ "ซีเอสเอผักประสานใจ" เชื่อมโยง ผลผลิตสู่ผู้บริโภคที่เป็นสมาชิกโดยตรง  60 ราย


ระวีวรรณ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการนำระบบซีเอสเอมาใช้ เนื่องจากมองเห็นสภาพปัญหาที่เกษตรกรถูกบีบรัดด้วยระบบตลาดที่คนกลางเป็นผู้กำหนด ไม่ว่าจะเป็นชนิดของพืชผัก การควบคุมปริมาณ และคุณภาพ ในขณะที่เกษตรกรต้องลงทุนเงินสด แต่ขายเงินเชื่อ อีกทั้งต้องแบกรับภาระความเสี่ยงเองทั้งหมดกรณีผลผลิตเสียหายจากสภาพดินฟ้าอากาศ


"บทเรียนที่ได้ คือ เกษตรกรรายย่อยจะอยู่ได้ต้องรวมกลุ่มกัน โดยแต่ละรายเป็นผู้ผลิตขนาดเล็กที่มีเจตนาเดียวกันไม่ได้ มุ่งผลิตเพื่อวอลุ่มใหญ่ๆ แต่เน้นการผลิต ในพื้นที่ไม่ใหญ่มาก และสามารถจัดการ ตัวเองได้ ระบบซีเอสเอจึงเข้ามาตอบโจทย์เกษตรกรรายย่อย ข้อดี คือ เกษตรกรได้เงินล่วงหน้า และเป็นผู้กำหนดได้ว่าจะผลิตอะไรตามฤดูกาล โดยตัดขั้นตอนคนกลางออกไป ส่งตรงผักถึงมือผู้บริโภคซึ่งจ่ายเงินล่วงหน้าเป็นรายปี ผลผลิตในฟาร์มทั้งหมดถือเป็นการแชร์กัน เป็นการร่วมลงทุน ที่แบกรับความเสี่ยงร่วมกัน ถ้าผลผลิตเสียหาย เรียกร้องเงินคืนไม่ได้ แต่ถ้าผลผลิต มีมากก็ได้แบ่งปันมากขึ้นตามสัดส่วน"


ผู้ประสานงาน "ซีเอสเอผักประสานใจ" เล่าว่า 14 ปีที่ผ่านมาของการทำระบบ ซีเอสเอที่มีความเอื้ออาทรระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคซึ่งมีความเป็นกัลยาณมิตรต่อกันนี้ สามารถช่วยซัพพอร์ตให้เกษตรกรอยู่รอดได้ แม้จะเกิดวิกฤติ ภัยแล้ง โดยไม่ได้เพิ่มราคากับผู้บริโภค แต่เกษตรกรมีความมั่นคงด้านรายได้ เพราะสามารถบริหารจัดการนำเงินที่ได้ไปขุดสระแก้ปัญหาภัยแล้ง


ด้าน ปรีดาธพันธุ์ จันทร์เรือง อดีตวิศวกรชาวชัยนาทที่ผันตัวมาเป็นชาวนา ผู้ประกอบการแบรนด์ Origi Rice เป็นMindful Markets อาหารดี สำนึกดี สังคมดี thaihealthอีกหนึ่งตัวอย่างเกษตรกรรุ่นใหม่ที่นำระบบ ซีเอสเอมาใช้ในการผลิตข้าวอินทรีย์ โดยได้แรงบันดาลใจจากการเข้าร่วมโครงการ ผูกปิ่นตัวข้าว ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มแม่สื่อจับคู่เกษตรกรที่ทำนาอินทรีย์กับผู้บริโภคได้ ซื้อขายกันผ่านระบบออนไลน์ จากแนวคิดนี้ปรีดาธพันธุ์จึงรวมกลุ่มเกษตรก่อตั้ง วิสาหกิจชุมชนส่งเสริมกสิกรรมไร้สารพิษ จ.ชัยนาท โดยอาศัยช่องทางที่ตลาด หลักทรัพย์ฯ มีนโยบายผลักดันให้บริษัท จดทะเบียนต้องมีการทำ CSR นำมาสู่ การใช้กลยุทธ์จับคู่กับกลุ่มบริษัทเหล่านี้ โดยเสนอให้เป็นลูกค้าจองล่วงหน้า 3 ปี ผ่านระบบซีเอสเอ โดยบริษัทเอาพนักงานมาร่วมลงกิจกรรมแปลงนา ระบบนี้ช่วยให้เกษตรได้เงินทุนล่วงหน้าโดยไม่ต้องกู้ยืมธกส. ขณะที่บริษัทเองก็ได้ภาพลักษณ์ และผลผลิตข้าวอินทรีย์ไปแจกลูกค้าช่วงปีใหม่ ในนามวิสาหกิจชุมชนฯ ร่วมกับองค์กร


อีกหนึ่งเสียงจากฝั่งตัวแทนผู้ประกอบการประมงพื้นบ้านที่ก้าวสู่ธุรกิจเพื่อสังคม ในนามร้าน "คนจับปลา" นำโดย เสาวลักษณ์ ประทุมทอง เล่าว่า จากการทำงานร่วมกับชาวประมงพื้นบ้านในพื้นที่ จ.เพชรบุรี และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทำให้มองเห็นวังวนความยากจนของชาวประมงพื้นบ้านที่ไม่สามารถกำหนดราคาได้เอง แต่คนที่รวยมาก คือ คนกลางอย่างแพปลาที่มีอำนาจในการกำหนดราคา


โมเดลร้าน "คนจับปลา" จึงเกิดขึ้นเพื่อยกระดับวิถีความเป็นอยู่ของชาวประมงให้ดีขึ้น ขณะเดียวก็เป็นการส่งตรงอาหารทะเลสดและแปรรูปที่ปลอดภัย ไม่ใช้สารเคมี ถึงผู้บริโภคในราคาที่เหมาะสม ชาวประมงก็ได้ราคารับซื้อที่เป็นธรรม และเป็นการผลิตภายใต้การใช้เครื่องมือประมงที่ถูกกฎหมายและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม


การทำตลาดที่ผ่านมา เน้นการขายผ่านช่องทางอีเวนต์เพื่อสื่อสารให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงคุณค่า และที่มาจากต้นทางการประมงพื้นบ้านที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ล่าสุด ยังอยู่ระหว่างการวางมาตรฐานร่วมกันที่เรียกว่า Blue Brand Standard เป็นMindful Markets อาหารดี สำนึกดี สังคมดี thaihealthทางเลือกให้ชาวประมงพื้นบ้านที่มีมาตรฐานนี้สามารถเป็นผู้ผลิตอาหารปลอดภัยได้ โดยไม่ต้องขายในนามร้านคนจับปลา ทำให้อาหารทะเลปลอดภัยเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น


ด้านผู้ประกอบการในฐานะบทบาท "คนกลาง" ศูนย์รับและกระจายผลผลิตอินทรีย์ จักรกฤษณ์ พูลสวัสดิ์กิติกูลผู้ประกอบการสังคมในโครงการเชื่อมโยงผลผลิตอินทรีย์และอาหารสุขภาพ บอกว่า เดิมหลายคนอาจมองว่าคนกลางคือคนที่เอาแต่กำไร เขาจึงอยากริเริ่มต้นแบบของ "คนกลางที่ดี" ภายใต้แนวคิดตลาดที่มีจิตสำนึก ยึดหลักสัมมาอาชีวะ คือ สามารถประกอบการได้จริง ไม่เบียดเบียนตัวเอง และเอื้อประโยชน์ให้กับขุมชนและสังคม ส่งตรงผลผลิตถึงมือผู้บริโภคในราคาที่ เป็นธรรม


"โจทย์ใหญ่ในส่วนผู้ประกอบการที่เราพบคือ ต้นทุนค่าขนส่งที่สูงถึงประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากปริมาณของผลผลิตอินทรีย์ยังน้อย เทียบไม่ได้กับผลผลิตเกษตรเคมี ในขณะที่ผู้บริโภคยังอยู่แบบกระจัดกระจาย แนวทางจึงต้อง ส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่ม สร้างเครือข่ายทั้งเกษตรและผู้บริโภค โดยปัจจุบัน เรามี organic station ที่จำหน่ายหลักอยู่ที่ตลาดถนอมมิตร และสวนเงินมีมา รวมถึงการจำหน่ายเคลื่อนที่หมุนเวียนไปยังที่ต่างๆ และพร้อมเปิดรับผู้ที่สนใจอยากร่วมเป็นเครือข่ายในการขยาย organic station ซึ่งหากสามารถสร้างกลุ่มผู้บริโภคที่เข้มแข็งมาเชื่อมโยงกัน เชื่อว่าระบบนี้น่าจะเกิดขึ้นและอยู่ได้ด้วยตนเอง" จักรกฤษณ์ ในฐานะตัวแทน "คนกลาง" กล่าว


ปิดท้ายด้วยเสียงสะท้อนจากตัวแทน ผู้บริโภคสีเขียว ขวัญภัส วิวัฒน์วิชา หรือที่รู้จักในนาม "แม่เช็ง" ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนทอสี หนึ่งในกำลังสำคัญของ รูปแบบการรวมกลุ่มรับซื้อผลผลิตอาหารปลอดภัย ที่เรียกกันว่า Collective Buying ปัจจุบัน มีผู้ปกครองในโรงเรียนทอสี กว่า 220 คนร่วมเป็นเครือข่ายผู้บริโภคสั่งซื้อผัก ผลไม้ ไข่ ข้าวสาร ผลไม้ ผ่านเครือข่าย โซเชียลมีเดีย โดย "แม่เช็ง" ทำหน้าที่เป็นคนกลางรวบรวมคำสั่งซื้อล่วงหน้า ส่งให้เกษตรกร โดยทุกวันพุธจะมีผลผลิตส่งตรงจากฟาร์ม เช่น ปากช่อง สระบุรี มาจัดส่งให้ที่โรงเรียนสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง โดย ผู้ปกครองจะเอาเงินใส่ซองพร้อมออเดอร์มารับของที่แผงไปด้วยตัวเอง


แม่เช็ง เล่าว่า ด้วยความที่ผู้ปกครอง ครู และเด็กในโรงเรียนได้ผ่านการเรียนรู้เรื่องคุณค่าของการบริโภคที่แท้จริง และ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม "เราเป็นผู้บริโภคที่รู้ซึ้งถึงความตั้งใจของผู้ผลิต ไม่ได้มองว่าเราเป็นผู้ช่วย แต่น้อมคิดเสมอว่า เกษตรกรคือผู้มีพระคุณ ที่ผลิตอาหารที่ดีมีคุณภาพให้เรารับประทาน และรู้สึกยินดีที่ได้มีส่วนร่วมเป็นกลไกในการขับเคลื่อนระบบการผลิตอาหารปลอดภัย ความฝันของเราจึงอยากเห็นภาพของคนกลางแบบนี้ขยายไปสู่ชุมชนอื่นๆ เพราะเชื่อว่าหากมีเครือข่ายผู้บริโภคที่เข้มแข็ง จะช่วยสร้างตลาดทางเลือกที่นำไปสู่ความยั่งยืนของอาหารปลอดภัยในอนาคต"


วันนี้ แนวคิดตลาดที่มีจิตสำนึก  หรือ Mindful Markets เริ่มจุดประกายขึ้นแล้ว แต่ "อาหารดี สำนึกดี สังคมดี" จะขับเคลื่อนไปได้ไกลแค่ไหน ยังเป็นโจทย์ที่ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคต้องร่วม กันสนับสนุนผลักดัน

Shares:
QR Code :
QR Code